เอเจนซี / เอเอฟพี - “นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์” หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ฉบับวันอาทิตย์ชื่อดังของอังกฤษซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 168 ปี วางแผงฉบับสุดท้ายวันนี้ (10) พร้อมกล่าวคำอำลาและขออภัยประชาชนทั้งประเทศอย่างสุดซึ้ง จากกรณีอื้อฉาวที่ถูกเปิดโปงว่า ใช้วิธีการสกปรกเพื่อให้ได้มาซึ่งข่าวสารเชิงลึกด้วยการแอบดักฟังหรือแฮกเข้าไปในระบบโทรศัพท์ของแหล่งข่าวหลายแหล่งที่ต้องการขุดคุ้ย
แท็บลอยด์ฉาวโฉ่ดังกล่าวซึ่งมีอภิมหาเศรษฐีและเจ้าพ่อวงการสื่ออย่างรูเพิร์ต เมอร์ด็อก เป็นเจ้าของ ประกาศปิดตัวอย่างเป็นทางการในฉบับสุดท้ายวันนี้ โดยพาดหัวหน้าแรกด้วยอักษรตัวโตสีขาวถึงผู้อ่านว่า “ขอบคุณ และลาก่อน” ขณะที่พื้นหลังของปกเป็นภาพตัดต่อหน้าปกนิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ฉบับต่างๆ ที่แสดงให้เห็นถึงผลงานข่าวเด่นๆ ของตนตลอด 168 ปีที่ผ่านมา
สื่อฉบับหัวสีแดงดังกล่าวซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่ามักพาดหัวหน้าหนึ่งด้วยข่าวประโคมพฤติกรรมฉาวของบรรดาคนรวย, บุคคลเด่นดังในแวดวงต่างๆ อาทิ บันเทิง และกีฬา หรือแม้กระทั่งบุคคลสำคัญในพระราชสำนักนั้น ได้กล่าวยอมรับผิดที่ได้กระทำไปทั้งหมดลงในบทบรรณาธิการเต็มหน้า 3 โดยระบุว่า “ในช่วงไม่กี่ปีก่อนปี 2006 บางคนที่เข้ามาทำงานให้กับเรา หรือทำในนามของเรา ไม่สามารถรักษามาตรฐานไว้ได้”
“พูดง่ายๆ ก็คือ เราสูญเสียแนวทางของเราไป มีการดักฟังโทรศัพท์เกิดขึ้น ซึ่งเราขออภัยอย่างสุดซึ้ง ไม่มีเหตุอันควรใดๆ ที่จะรองรับการกระทำอันน่าตำหนินี้” บทบรรณาธิการ ระบุ “ไม่มีเหตุอันควรใดๆ สำหรับความเจ็บปวดที่เหยื่อทุกคนได้รับ รวมถึงรอยด่างพร้อยที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ แต่เมื่อเราได้ชดเชยความผิดแล้ว เราหวังว่าสังคมจะตัดสินเราจากคุณความดีส่วนใหญ่ที่ได้กระทำมาตลอดหลายปี”
ด้าน โคลิน ไมเลอร์ บรรณาธิการนิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ บอกกับสื่อมวลชนด้านนอกสำนักงานในกรุงลอนดอน ว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องการจะให้เป็นเลย และก็เป็นสิ่งที่พวกเราไม่สมควรจะได้รับด้วย ทว่าในฐานะที่เป็นบรรณาการชิ้นสุดท้ายซึ่งจะมอบให้แก่ผู้อ่านที่จงรักภักดี 7.5 ล้านคนนั้น สิ่งนี้เพื่อคุณและเพื่อทีมงานทุกคน ขอบคุณครับ”
ทั้งนี้ นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับวันอาทิตย์ของเดอะ ซัน ทว่ามีการแบ่งแยกการทำงานและบริหารเป็นเอกเทศจากกันนั้น ถูกครหาเรื่องการดักฟังโทรศัพท์มาตลอดช่วงหลายปีหลัง นับตั้งแต่บรรณาธิการโต๊ะข่าวพระราชสำนัก และนักสืบเอกชนของแท็บลอยด์ฉบับนี้ ถูกศาลสั่งจำคุกด้วยข้อหาดักฟังโทรศัพท์เมื่อปี 2007 ทว่า ข่าวฉาวโฉ่ที่สร้างความเดือดดาลแก่คนอังกฤษมากที่สุดจนถึงกับอดทนต่อพฤติกรรมของสื่อเจ้านี้ไม่ได้อีกต่อไปนั่นก็คือ ข่าวที่หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน ตีแผ่ว่า นักสืบเอกชนและนักข่าวของนิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ ไปดักฟังข้อความเสียง (voicemail) ที่พ่อแม่และเพื่อนๆ ส่งถึง มิลลี ดาวเลอร์ เพื่อแสดงความห่วงใยในตัวเธอในช่วงที่ยังไม่มีใครทราบชะตากรรมว่าเด็กสาววัย 13 ขวบผู้นี้เป็นตายร้ายดีอย่างไร
ดาวเลอร์ ถูกลักพาตัวระหว่างทางกลับบ้านหลังเลิกเรียนเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2002 ข่าวนี้ทำให้คนอังกฤษทั้งประเทศตื่นตัวช่วยกันตามหาเธอ อย่างไรก็ตาม มีคนพบศพของเธอถูกฝังอยู่ในป่าเมื่อวันที่ 18 กันยายน ปีเดียวกันนั้นเอง และเมื่อเดือนที่ผ่านมา ศาลเพิ่งพิพากษาลงโทษจำคุก เลวี เบลล์ฟีลด์ ยามเฝ้าไนต์คลับแห่งหนึ่ง ตลอดชีวิตฐานฆาตกรรมเด็กสาวรายนี้
นอกจากพฤติกรรมดักฟังวอยซ์เมลในโทรศัพท์ของดาวเลอร์แล้วยังไม่พอ กลุ่มนักข่าวของสื่อเจ้านี้ยังแฮกเข้าไปลบข้อความเสียงเก่าทิ้งด้วย เพื่อให้ข้อความใหม่ฝากเข้ามาได้หลังจากกล่องบันทึกข้อความของดาวเลอร์เต็ม การกระทำดังกล่าวทำให้ครอบครัวของดาวเลอร์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าใจผิดว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ และยังทำให้ร่องรอยเบาะแสในการสืบค้นของตำรวจขาดหายไปอีกด้วย
ข่าวครึกโครมดังกล่าวเขย่าดินแดนยูเนียนแจ็กตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา และยังจุดประเด็นทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์ขึ้นด้วยข้อสงสัยต่างๆ นานาเกี่ยวกับความสัมพันธ์เบื้องลึกเบื้องหลังระหว่างนักการเมืองอังกฤษ ซึ่งรวมถึงนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน กับเมอร์ด็อก ประธานและซีอีโอของนิวส์คอร์ป ซึ่งเป็นเครือข่ายด้านสื่อมวลชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งนี้นายกฯ คาเมรอนมีความสนิทสนมกับรีเบคกาห์ บรูกส์ ซึ่งนั่งเก้าอี้บรรณาธิการนิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์แห่งนี้ในช่วงที่เกิดคดีลักพาตัวดาวเลอร์ในปี 2002 และปัจจุบันเป็นประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทนิวส์ อินเตอร์เนชันแนล ต้นสังกัดของนิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ อีกด้วย
นอกจากนี้ คาเมรอนยังแต่งตั้งให้แอนดี โคลสัน เป็นผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของเขา จวบจนกระทั่งโคลสันถูกแรงกดดันจนต้องยอมลาออกเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทั้งนี้โคลสันก็เคยเป็นบรรณาธิการของนิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ และลาออกในปี 2007 หลังจากนักข่าวของเขาคนหนึ่งและนักสืบไปแฮกข้อความเสียงในพระราชสำนักจนถูกจำคุกดังกล่าวข้างต้น ปรากฏว่า โคลสันถูกตำรวจจับกุมเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าเขาให้การว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับการแฮกข้อมูลใดๆ
ทั้งนี้ นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ จะต้องเผชิญกับมรสุมระลอกใหม่นี้แม้จะปิดตัวไปแล้ว โดยที่จะมีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับนักข่าวหลายคนที่ทำงานให้เมอร์ด็อก รวมถึงบุคคลอื่นๆ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าติดสินบนตำรวจเพื่อแลกกับข้อมูลเชิงลึกต่างๆ อีกด้วย โดยซันเดย์ ไทมส์ รายงานว่า มีนักข่าวอย่างน้อย 9 คนและตำรวจ 3 คน ที่อาจต้องโทษจำคุกด้วยพัวพันกับการทุจริตดังกล่าว
ในอีกด้านหนึ่ง ทางเมอร์ด็อกได้เดินทางไปลอนดอนวันนี้ เพื่อหวังบรรลุสัญญาขอเทคโอเวอร์โทรทัศน์บีสกายบี ด้วยการกว้านซื้อหุ้น 61 เปอร์เซ็นต์ มูลค่า 14,000 ล้านดอลลาร์ให้ได้โดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตามบรรดาพรรคฝ่ายค้านของอังกฤษต่างพยายามขัดขวางเต็มที่ โดยก่อนหน้านี้พวกเขาเพียงแต่วิตกกังวลว่า หากเมอร์ด็อกได้เป็นเจ้าของโทรทัศน์แห่งนี้ จะส่งผลให้เขามีอิทธิพลครอบงำสื่อต่างๆ ในอังกฤษมากจนเกินไป เมื่อนิวส์คอร์ปตอนนี้ก็เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์รายวันแล้วสองฉบับ รวมถึงหนังสือพิมพ์ฉบับวันอาทิตย์หัวอื่นอีกหนึ่งฉบับด้วย ครั้นหลังจากที่มีข่าวแพร่สะพัดเกี่ยวกับกรณีที่บรรณาธิการอาวุโสหลายคนที่ทำงานให้เมอร์ด็อกถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับการแฮกเข้าไปในระบบวอยซ์เมลรวมหลายพันข้อความ ตลอดจนจ่ายเงินใต้โต๊ะให้ตำรวจเพื่อแลกกับข้อมูลเจาะลึกที่จะนำมาเขียนสกู๊ปนั้น ก็ทำให้ออฟคอม ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระที่กำกับดูแลและบังคับกฎระเบียบของกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมด้านการสื่อสารในอังกฤษ เตรียมพิจารณาใหม่ว่า บรรดาผู้บริหารของนิวส์คอร์ปมีคุณสมบัติ “คู่ควรและเหมาะสม” กับการบริหารงานบีสกายบีหรือไม่
อนึ่ง ในฉบับสั่งลาของนิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ นี้ได้รวบรวมเอาผลงานชิ้นโบแดงของผู้สื่อข่าวบางคนมานำเสนอไว้ในคอลัมน์ “หนังสือพิมพ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก 1843-2011” โดยหนึ่งในนั้นเป็นของบรรณาธิการข่าวสืบสวน มาเซอร์ มะห์มูด หรือ “ชีคกำมะลอ” (Fake Sheikh) ซึ่งลิสต์รายชื่ออาชญากรหลายคนที่เขาเคยแกะรอยจนนำไปสู่การจับกุมได้ในที่สุด
อีกคอลัมน์หนึ่งพูดถึงโครงการรณรงค์ที่ นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ ประสบความสำเร็จมาแล้ว เช่น การเรียกร้องค่าชดเชยให้แก่เหยื่อเหตุระเบิดรถไฟใต้ดินกรุงลอนดอนเมื่อปี 2005 หรือการเขียนข่าวสนับสนุนมารดาที่บุตรสาวถูกโจรฆ่าข่มขืน เมื่อปี 2000 เป็นต้น