เอเอฟพี - อิหร่านออกโรงเตือนชาติตะวันตก อย่าเลือกวิธีใช้กำลังทหารบีบ มูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ให้ออกจากตำแหน่ง มิเช่นนั้นลิเบียทั้งประเทศอาจกลายเป็นฐานทัพของทหารโลกตะวันตก
แม้ว่า รามิน เมห์มันปารัสต์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศอิหร่าน ได้ร่วมประณาม “การใช้ความรุนแรงอย่างไร้มนุษยธรรม” เข่นฆ่าประชาชนผู้รวมตัวเคลื่อนไหวขับไล่ผู้นำจอมเผด็จการ แต่เขาได้สำทับว่า “นั่นไม่ใช่ข้ออ้างให้ประเทศอื่นส่งทหารเข้าไปแทรกแซงลิเบีย”
“พวกเขา (ชาติตะวันตก) ไม่ควรเข้าไปเปลี่ยนประเทศอื่นๆ ให้กลายเป็นฐานทัพทหารของตัวเอง” เว็บไซต์เพรสทีวี ภาคภาษาอังกฤษของอิหร่านรายงานคำกล่าวของโฆษก เมห์มันปารัสต์ วานนี้ (1)
การแสดงความคิดเห็นของ รามิน เมห์มันปารัสต์ เกิดขึ้นหลังจากมีรายงานว่า ชาติตะวันตก ซึ่งรวมทั้งสหรัฐฯ กำลังประเมินสถานการณ์การใช้กำลังทหารเข้าโค่นล้ม พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี อย่างไรก็ตาม การแทรกแซงทางทหารดังกล่าวมีท่าทีอ่อนลงวันนี้ (2) เมื่อ โรเบิร์ต เกตส์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ออกมาเปิดเผยว่า “เสียงในนาโตยังไม่เป็นเอกฉันท์ให้ใช้กำลังทหารบุกเข้ากอบกู้ลิเบีย”
“เรายังต้องตระหนักถึงการใช้กำลังทหารสหรัฐฯ ในประเทศอื่นๆ ของตะวันออกกลางด้วย” โรเบิร์ต เกตส์ กล่าว
แม้ว่า กำลังทหารสหรัฐฯ และนาโตจะมีมากกว่ากองกำลังของกัดดาฟีมากมายเหลือคณานับ แต่รัฐบาลลิเบียยังคงครอบครองขีปนาวุธต่อสู้อากาศยานจำนวนมาก ซึ่งสามารถต่อกรกับเครื่องบินรบทุกลำที่รุกรานประเทศได้
ขณะนี้มีประชาชนมากกว่า 100,000 คน อพยพลี้ภัยการปราบปรามผู้ประท้วงของกลุ่มผู้ภักดีต่อกัดดาฟี ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1,000 รายแล้ว ข้อมูลจากการประเมินของยูเอ็นระบุ
การปฏิวัติต่อต้านระบอบกัดดาฟี ซึ่งปกครองลิเบียมา 41 ปี เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างความโกรธแค้นที่ประชาชนมีต่อผู้นำเผด็จการในโลกอาหรับ ซึ่งกำลังขจรขจายไปทั่วตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ รวมทั้งประเทศบริเวณอ่าวเปอร์เชียอย่าง คูเวต และ โอมาน อยู่ในขณะนี้
การลุกฮือของประชาชนขึ้นขับไล่ผู้นำเป็นเปลวเพลิงที่พัดโหมมาจากตูนิเซีย และอียิปต์ ซึ่งประธานาธิบดีจอมเผด็จการล้วนต้องลงจากอำนาจด้วยพลังของประชาชน