xs
xsm
sm
md
lg

กองกำลังของกัดดาฟีเคลื่อนพลประชิดกบฏ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รถถังของทหารฝ่ายสนับสนุนกัดดาฟี ประจำการอยู่ในเมืองแห่งหนึ่งห่างจากกรุงตริโปลี 30 กิโลเมตร ขณะที่มีรายงานว่ากองกำลังผู้ภักดีต่อประธานาธิบดีรายนี้ยาตราทัพเข้าประชิดเมืองแห่งหนึ่งทางภาคตะวันตกใกล้แนวพรมแดนติดกับตูนิเซีย และเมืองสำคัญอื่นๆ ซึ่งเวลานี้ถูกยึดครองโดยพวกกบฏโค่นล้มระบอบ
เอเจนซี/เอเอฟพี - กองกำลังผู้ภักดีต่อประธานาธิบดีมูอัมมาร์ กัดดาฟีของลิเบีย ยาตราทัพเข้าประชิดเมืองแห่งหนึ่งทางภาคตะวันตกใกล้แนวพรมแดนติดกับตูนิเซีย และเมืองสำคัญอื่นๆ ซึ่งเวลานี้ถูกยึดครองโดยพวกกบฏโค่นล้มระบอบ ขณะที่สหรัฐฯ ได้ส่งกองเรือรบและฝูงบินสนับสนุนจากฐานทัพเรือของตนในอิตาลีเข้าไปใกล้ลิเบียมากขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนระหว่างลิเบียและตูนิเซียเนื่องจากมีผู้อพยพหนีตายอยู่เป็นจำนวนมากจนสหประชาชาติระบุว่าเข้าขั้นวิกฤตแล้วในตอนนี้

สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) แถลงมาจากนครเจนีวา เมื่อเย็นวันอังคาร (1) ว่า เวลานี้สถานการณ์บริเวณตะเข็บชายแดนระหว่างลิเบียกับตูนิเซียได้มาถึงจุดวิกฤตแล้ว หลังจากที่มีผู้ลี้ภัยชาวลิเบียและต่างชาติจำนวน 70,000 - 75,000 คนได้อพยพข้ามแดนมาพำนักในบริเวณดังกล่าวนับตั้งแต่ที่เหตุรุนแรงปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์เป็นต้นมา คำแถลงนี้มีขึ้นไม่นานหลังจากสื่อหลายสำนักรายงานว่า ทหารผู้ภักดีต่อกัดดาฟีกำลังเตรียมโจมตีเมืองหลายแห่งเพื่อยึดเอาดินแดนคืนจากพวกกบฏ รวมถึงเมืองนาลุต ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากพรมแดนตูนิเซียเพียงราว 60 กิโลเมตร ภายหลังประชาชนในเมืองแห่งนี้เล่าว่า พวกเขาได้พบเห็นสมุนกัดดาฟีเดินทัพเข้าประชิดเมืองดังกล่าวเมื่อวาน (1)

“พวกเขา (ฝ่ายกัดดาฟี) ได้เข้าล้อมพื้นที่ใกล้กับแนวพรมแดนตูนิเซีย... พวกเขามาพร้อมด้วยรถโฟร์วีลไดร์ฟที่ติดตั้งปืนกลอยู่บนนั้น นอกจากนี้พวกทหารยังมีอาวุธครบมืออีกด้วย” ชาวบ้านคนหนึ่งชื่อ ซามี กล่าวกับรอยเตอร์

ขณะที่ชาวบ้านในเมืองนาลุตอีกคนหนึ่งซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ เล่าว่า เขาได้ยินว่าพวกทหารลิเบียได้เคลื่อนพลสู่เขตพรมแดนติดกับตูนิเซีย “ยังไม่มีการสู้รบกันขึ้นในนาลุต พวกเขาเดินทัพผ่านไปและมุ่งหน้าไปยังแนวพรมแดนรอบๆ เขตวะสิน โดยที่ผู้คนยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้”

นอกจากนี้ที่เมืองสำคัญสองแห่งอย่างมิสราตา เมืองซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่ครึ่งล้าน และซอวิยะห์ เมืองยุทธศาสตร์อันเป็นที่ตั้งของโรงกลั่นน้ำมันสำคัญหลายแห่ง ก็มีประจักษ์พยานระบุว่า ทหารฝ่ายรัฐบาลกำลังระดมพลเพื่อเตรียมการโจมตี

“เครื่องบินลำหนึ่งถูกสอยร่วงเมื่อช่วงเช้าวันอังคาร (1) ขณะที่มันกำลังโจมตีใส่สถานีวิทยุท้องถิ่น พวกผู้ประท้วงช่วยกันจับนักบินไว้ได้” โมฮัมเหม็ด จากเมืองมิสราตา เล่าเหตุการณ์ในสายกับรอยเตอร์

ทางด้านสหรัฐฯ ซึ่งเวลานี้กองทัพเรือภาคที่ 6 ปฏิบัติการอยู่นอกชายฝั่งของอิตาลี ระบุว่า พวกเขาได้เคลื่อนกองเรือรบและเครื่องบินรบเข้าไปใกล้ลิเบียมากขึ้นแล้ว หลังจากเมื่อวันจันทร์ (28 ก.พ.) ที่ผ่านมา ก็ได้มีการถกหารือกับรัฐบาลชาติต่างๆ ถึงความเป็นไปได้ที่จะใช้มาตรการด้านการทหารเข้าช่วยกำจัดกัดดาฟี แม้ว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะลงความเห็นตรงกันว่า ความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะใช้กำลังกับลิเบียนั้นมีไม่มากก็ตาม

ขณะที่ซูซาน ไรซ์ ทูตใหญ่สหรัฐฯ ประจำองค์การสหประชาชาติ ก็ได้ระบุว่า รัฐบาลวอชิงตันกำลังอยู่ในระหว่างการหารือกับภาคีสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) และชาติพันธมิตรอื่นๆ เกี่ยวกับทางเลือกในการใช้กำลังทางทหาร นอกเหนือจากที่สหรัฐฯ ได้ทำการอายัดทรัพย์สินของกัดดาฟีและครอบครัวในแดนลุงแซมรวมทั้งสิ้นราว 30,000 ล้านดอลลาร์แล้ว

ก่อนหน้านี้ สหภาพยุโรป (อียู) ได้แถลงว่า สมาชิกอียูได้เห็นพ้องตกลงกันที่จะใช้มาตรการคว่ำบาตรกัดดาฟีและสมาชิกครอบครัว ตลอดจนผู้ช่วยคนสนิทของเขาอีก 25 คน ด้วยการลงโทษอายัดทรัพย์สิน, ห้ามขายสินค้าที่อาจใช้เป็นเครื่องมือปราบปรามผู้ประท้วง, และห้ามเดินทางมายังดินแดนของอียู ส่วนนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอนของอังกฤษ ก็บอกว่า รัฐบาลของเขากำลังเร่งทำงานเพื่อวางมาตรการลงโทษลิเบียเพิ่มขึ้นโดยการกำหนดให้น่านฟ้าลิเบียเป็นเขตห้ามบิน

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้โอกาสที่กัดดาฟีจะสามารถครองอำนาจปกครองประเทศต่อไปตามเดิมนั้นดูจะริบหรี่ลงเรื่อยๆ และตัวเขาเองก็ถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติเป็นระลอกๆ ทว่ากัดดาฟีก็ยังคงอยู่ในอากัปกิริยาที่ดูผ่อนคลายและปล่อยเสียงหัวเราะออกมาหลายครั้งในระหว่างการให้สัมภาษณ์โทรทัศน์เอบีซีของสหรัฐฯ และบีบีซี ของอังกฤษ จากในโรงแรมแห่งหนึ่งบนชายหาดทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในกรุงตริโปลีเมื่อวันจันทร์ (28 ก.พ.) โดยที่เขาระบุว่า “ประชาชนทั้งหมดยังคงรักใคร่เขาดี และพวกเขาก็พร้อมจะตายเพื่อปกป้องผม”

นอกจากนี้กัดดาฟียังปฏิเสธข้อเรียกร้องของพวกกบฏที่ต้องการให้เขาก้าวลงจากตำแหน่ง และยืนกรานหนักแน่นว่าเขาไม่ได้ใช้เครื่องบินรบบอมบ์ใส่กลุ่มผู้ประท้วง เพียงแต่แค่ถล่มใส่เขตพื้นที่ทหารและคลังสรรพาวุธเท่านั้น ซ้ำยังปฏิเสธด้วยว่าไม่มีการชุมนุมประท้วงใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องด้วยประชาชนวัยหนุ่มสาวของเขาถูกวางยาโดยพวกอัล-กออิดะห์ ซึ่งนั่นก็ทำได้ให้พวกเขาออกมาโหวกเหวกตามถนน โดยที่กองกำลังของรัฐบาลก็ถูกสั่งไม่ให้ยิงใส่พวกเขาแต่อย่างใด กระนั้นก็ตาม นางไรซ์แห่งยูเอ็นก็ได้ตราหน้าเขาว่าเป็น “จอมเพ้อเจ้อ” ที่เข่นฆ่าประชาชนของตนเอง และไม่มีคุณสมบติที่จะเป็นผู้นำประเทศอีกต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น