วอลล์สตรีท เจอร์นัล/รอยเตอร์ - ประธานาธิบดี หู จิ่นเทา ของจีน ให้สัมภาษณ์สื่อดังแดนลุงแซม รบเร้าให้สหรัฐฯ ร่วมกันยุติความสัมพันธ์แบบสงครามเย็นต่อกันในลักษณะที่มองฝ่ายใดเมื่อได้ประโยชน์ ฝ่ายหนึ่งจะต้องเสียประโยชน์ร่ำไป พร้อมกับเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศกระชับความร่วมมือกันเพิ่มขึ้นในด้านต่างๆ ไล่ตั้งแต่ภาคพลังงาน ไปจึงถึงด้านอวกาศ อย่างไรก็ตาม ในประเด็นอ่อนไหวเรื่องค่าเงิน เขาระบุว่า ระบบเงินตราที่อาศัยสกุลดอลลาร์เป็นตัวกำหนดค่าเงินระหว่างประเทศนั้นเป็นผลิตผลที่ล้าสมัยไปแล้ว และถึงเวลาที่จะผลักดันให้เงินหยวนเป็นทางเลือกใหม่สำหรับเป็นแหล่งสำรองเงินตราระหว่างประเทศ
ก่อนหน้าที่ผู้นำแดนมังกรจะออกเดินทางไปเยือนสหรัฐฯ ในแบบรัฐพิธีในวันพุธที่จะถึงนี้ (19) ประธานาธิบดี หู จิ่นเทา ซึ่งน้อยครั้งจะตอบคำถามจากสื่อต่างชาติโดยตรง ได้เขียนตอบข้อซักถามต่างๆ ของหนังสือพิมพ์วอลล์สตีท เจอร์นัล และ วอชิงตัน โพสต์ ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในฉบับวานนี้ (17) โดย หู กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจเบอร์หนึ่งและสองของโลกเวลานี้ ระบุว่า “เราทั้งคู่ต่างยืนอยู่บนจุดที่จะได้รับผลประโยชน์จากภาวะความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่มีสุขภาพดี และในทางกลับกันเราทั้งคู่จะเสียประโยชน์หากอยู่ในภาวะที่เผชิญหน้ากัน”
หู กล่าวว่า ประเทศทั้งสองควรละเลิกความคิดแบบยุคสงครามเย็นซึ่งมีลักษณะของ “ซีโร่-ซัม” หรือ การมองว่าหากฝ่ายใดได้ประโยชน์ อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องเสียประโยชน์เสมอ โดยที่สองประเทศควรให้ความเคารพซึ่งกันและกันต่อทางเลือกหรือหนทางในการพัฒนาของอีกฝ่ายหนึ่ง
หู ยอมรับว่า “มีความแตกต่างและประเด็นอ่อนไหวบางประการระหว่างเรา (2 ประเทศ) ทว่า จุดยืนของผมก็คือการประนีประนอม และหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงประเด็นขัดแย้งที่ฉุดรั้งความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ให้เลวร้ายลงตลอดปีที่ผ่านมา” ซึ่งรวมถึงประเด็นที่เพนตากอนขายอาวุธล็อตใหญ่แก่ไต้หวัน
หู ยังเรียกร้องที่จะกระชับความร่วมมือต่างๆ กับสหรัฐฯ ให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นทั้งในแนวกว้างและแนวราบ อาทิเช่น การพัฒนาแหล่งพลังงานใหม่ๆ, พลังงานสะอาด, โครงสร้างพื้นฐาน, อุตสาหกรรมการบิน ตลอดจนโครงการด้านอวกาศ
อย่างไรก็ตาม ในด้านของเศรษฐกิจ หู ไม่เห็นด้วยกับหนึ่งในข้อโต้เถียงที่สหรัฐฯ พยายามยัดเยียดให้ว่า จีนควรปรับขึ้นค่าเงินหยวนด้วยจังหวะฝีก้าวที่รวดเร็วกว่านี้เพื่อที่ว่ามันจะสามารถช่วยให้รัฐบาลปักกิ่งควบคุมอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศที่กำลังพุ่งสูงลิ่วได้ นอกจากนี้หู ยังคัดค้านข้อกล่าวหาจากฝั่งอเมริกาที่ว่า จีนพยายามกระตุ้นภาคการส่งออกของตนด้วยการกดค่าเงินหยวนให้ต่ำกว่าความเป็นจริง
ผู้นำแดนมังกร ยังวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาถึงมาตรการของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในปีที่ผ่านมา โดยการประกาศรับซื้อพันธบัตรรัฐบาลขนานใหญ่หมายจะกระตุ้นเศรษฐกิจของตน ทั้งนี้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวถูกจีนตำหนิ ว่า เป็นการหว่านเมล็ดเพาะพันธุ์ภาวะเงินเฟ้อให้แก่กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่รวมทั้งจีนเองด้วย สืบเนื่องจากนโยบายที่ว่านี้ทำให้ปริมาณดอลลาร์ล้นตลาดและเกิดกระแสเงินร้อนไหลทะลักเข้าไปเก็งกำไรระยะสั้นในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ต่างๆ ซ้ำร้ายยังส่งผลให้ค่าเงินของประเทศเหล่านั้นแข็งค่าขึ้นสวนทิศทางกับดอลลาร์ที่อ่อนตัวลงอีกด้วย โดยประธานาธิบดี หู เตือนว่า นโยบายด้านการเงินของพญาอินทรีส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสภาพคล่องและระบบการไหลเวียนของเงินทุนในตลาดโลก ด้วยเหตุนี้ สภาพคล่องของเงินสกุลดอลลาร์จึงควรอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล และมีเสถียรภาพ
“ระบบเงินตราระหว่างประเทศที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้คือผลิตผลในอดีตกาล” หู บอก โดยระบุว่า ที่ผ่านมาเงินดอลลาร์คือสกุลเงินหลักที่ใช้เป็นแหล่งสำรองเงินทุนของแต่ละประเทศ รวมถึงใช้เป็นสื่อกลางในการชำระหนี้การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ทว่าโครงสร้างระบบการเงินโลกดังกล่าวควรมีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคตามสถานการณ์
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีจีน ยังแสดงความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวคิดของผู้ว่าการแบงก์ชาติแดนมังกร โจว เสี่ยวชวน ซึ่งเคยออกมาเรียกร้องในเดือนมีนาคมปี 2009 ให้มีการจัดตั้งระบบเงินตราสำรองระหว่างประเทศขึ้นมาใหม่อีกสกุลหนึ่ง เพื่อไว้เป็นทางเลือกนอกเหนือจากเงินสกุลดอลลาร์ โดย หู ระบุว่า แนวคิดดังกล่าวเป็นเจตนารมณ์ของจีนที่หมายจะขยับขยายบทบาทของเงินหยวนให้เป็นที่แพร่หลายและยอมรับมากขึ้นในตลาดโลก ด้วยการผลักดันให้เงินหยวนเป็นสื่อกลางในการทำการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม หู ยอมรับว่า กระบวนการดังกล่าวยังคงต้องใช้เวลาอีกยาวไกล