xs
xsm
sm
md
lg

“สื่อนอก”ยิ่งสำทับว่า “เสื้อแดง” กำลังหมดน้ำยา-แกนนำขัดแย้งและสับสน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้ชุมนุมเสื้อแดงแสดงอาการอ่อนล้าทั้งกายและใจระหว่างชุมนุมขับไล่รัฐบาล
เอเจนซี/เอเอฟพี/ASTVผู้จัดการรายวัน - สื่อมวลชนต่างประเทศที่ติดตามเสนอข่าวการชุมนุมประท้วงของกลุ่ม “เสื้อแดง” เมื่อวันพฤหัสบดี(18)รายงานกันอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นอีกว่า การประท้วงคราวนี้กำลังหมดมุกและมองไม่เห็นทางชนะ ขณะเดียวกันก็แสดงความวิตกกันพอสมควรว่าอาจจะเกิดความรุนแรง หรือมีการปฏิวัติรัฐประหารอีก

หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ระบุว่า เท่าที่ผ่านมายังไม่เกิดความรุนแรงใดๆ แต่ก็ไม่ค่อยมีอะไรที่จะให้กำลังใจกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงเช่นกัน โดยที่กลุ่มเสื้อแดงดูจะบรรลุเป้าหมายต่ำกว่าที่ตั้งเอาไว้

ไฟแนนเชียลไทมส์อ้างอิงคำพูดของ นายเจมส์ ไคลน์ ผู้อำนวยการประจำกรุงเทพฯของมูลนิธิเอเชีย ที่กล่าวว่า “คุณบอกว่าจะนำคนออกมาชุมหนุมหนึ่งล้านคน แต่เอาเข้าจริงคุณก็ได้มาสักแสนเดียวมั้ง นี่หมายความว่าต้องมีอะไรผิดพลาดแล้ว” เขาชี้ต่อไปว่า “มันหมายความว่าคุณไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันหนักแน่นแข็งแกร่งอย่างที่คุณคิดว่ามีอยู่นั่นเอง”

หนังสือพิมพ์ธุรกิจทรงอิทธิพลของอังกฤษฉบับนี้กล่าวด้วยว่า การชุมนุมที่ไม่มีความคืบหน้าเช่นนี้ ยังจะเป็นการทำลายความทะเยอทะยานทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณอีกด้วย เพราะเขาหวังที่จะอาศัยการชุมนุมคราวนี้เป็นเครื่องมือเพื่อฟื้นฟูฐานะทางการเมืองของเขาขึ้นมาใหม่

ส่วนหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล ระบุว่า พวกนักวิเคราะห์การเมืองเตือนว่า กลุ่มผู้ชุมนุมกำลังมีความอึดอัดมากขึ้น ซึ่งอาจจะกลายเป็นจุดพลิกผันที่อันตรายมาก ทั้งนี้พวกเขาอาจะเลือกเดินทางกลับบ้านเพราะรู้สึกพอใจแล้วที่ได้มีโอกาสส่งเสียงแสดงความเห็นของพวกตนออกมา หรือไม่ก็อาจเลือกก่อการจลาจลอย่างที่เคยเกิดขึ้นในเดือนเมษายนปีที่แล้ว

วอลล์สตรีทเจอร์นัลอ้างความเห็นของ นายสกุล สื่อทรงธรรม ผู้อำนวยการและเลขาธิการของมูลนิธิ Open Forum for Democracy Foundation ในกรุงเทพฯ ที่เสนอแนะว่า รัฐบาลจะต้องหาบันไดลงให้กลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อให้พวกเขากลับบ้านโดยไม่รู้สึกคับข้องใจ ไม่เช่นนั้น พวกเขาก็อาจจะใช้วิธีการรุนแรงได้

นอกจากนั้น หนังสือพิมพ์ฉบับนี้กล่าวว่า ยังมีอันตรายที่จะเกิดการปฏิวัติรัฐประหารอีกครั้ง โดยผู้คนที่ใกล้ชิดรัฐบาลบอกว่า ฝ่ายทหารอาจเข้ามาแทรกแซงอีกครั้ง ถ้าหากพรรคที่เป็นพันธมิตรของทักษิณชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไป แต่พวกผู้นำในคณะรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวแสดงความเชื่อว่า ไม่น่าจะมีรัฐประหารเกิดขึ้น

แม้กระทั่งสำนักข่าวเอเอฟพี ซึ่งวานนี้รายงานข่าวโดย เรเชล โอเบรียน ด้วยน้ำเสียงแสดงความเห็นอกเห็นใจกลุ่มผู้ประท้วงมาก ก็ยังตบท้ายการเสนอข่าวของเธอด้วยการระบุว่า กำลังมีความสงสัยกันเพิ่มมากขึ้นทุกทีถึงโอกาสที่กลุ่มเสื้อแดงจะได้ชัยชนะ

รายงานข่าวนี้ได้อ้างความเห็นของ นายพอล แชมเบอร์ส ผู้เชี่ยวชาญเรื่องประเทศไทยแห่งมหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก ในเยอรมนี ซึ่งกล่าวว่า “ถึงแม้กลุ่มเสื้อแดงประสบความสำเร็จในการเรียกร้องให้เกิดความสนใจต่อวาระของพวกเขา แต่กลุ่มพลังในสังคมส่วนใหญ่ของไทยก็ดูเหมือนต่างก็รวมตัวกันต่อต้านพวกเขา” ทั้งนี้นายแชมเบอร์สขยายความว่า กลุ่มพลังในสังคมไทยดังกล่าว ได้แก่ สถาบัน, นายทหารระดับสูง, พวกพรรคร่วมรัฐบาล, และกลุ่มธุรกิจส่วนใหญ่

สำหรับสำนักข่าวรอยเตอร์กล่าวว่า ยังไม่ชัดเจนว่าการประท้วงเพื่อกดดันรัฐบาลคราวนี้จะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน โดยที่ผู้นำจำนวนมากของกลุ่มเสื้อแดงมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องวิธีการล้มรัฐบาล หรือกระทั่งเรื่องเมื่อใดจึงจะหยุดการชุมนุม ทั้งนี้พวกผู้นำที่เป็นแกนหลักกำลังตีตัวออกจากกันและกัน โดยฝ่ายที่หัวรุนแรงมากกว่าก็มักข่มขู่จะใช้ความรุนแรง

รอยเตอร์ได้อ้างความเห็นของนายสุขุม นวลสกุล นักวิเคราะห์การเมืองอิสระ ที่กล่าวว่า กลุ่มเสื้อแดงมีการต่อสู้แบบแยกออกเป็นหลายๆ ขา และยากที่จะทำนายได้ว่าจะเดินไปทางไหนกันแน่ หรือแผนการของฝ่ายไหนจะถูกนำมาใช้ ทั้งนี้ “คำพูดของพวกเขาและความเป็นจริงก็ไม่ได้สอดคล้องกันเสมอไป” นายสุขุมกล่าว

สำนักข่าวแห่งนี้บอกว่า พวกนักวิเคราะห์หลายรายชี้ว่า การที่จะชุมนุมตามท้องถนนได้นานๆ นั้น จำเป็นต้องมีการจัดองค์การที่ดีกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน ไปจนถึงการส่งกำลังบำรุง และการขนส่ง ขณะที่นายสุขุมมองว่า กลุ่มเสื้อแดงยังจัดองค์กรได้ด้อยกว่า โดยเขาชี้ว่า “มันแตกต่างไปจากขบวนการต่อต้านทักษิณ (กลุ่มเสื้อเหลือง) ซึ่งมีระเบียบวินัยมากกว่า โดยที่มีทิศทางหนึ่งเดียวที่ชัดเจน และมีศัตรูใหญ่เพียงหนึ่งเดียว”

อนึ่ง รอยเตอร์ระบุด้วยว่า ขณะที่พวกนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า การชุมนุมของเสื้อแดงจะไปได้อีกไม่นานนั้น แต่ก็มีนายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสของบริษัทหลักทรัพย์ยูโอบี เคย์เฮียนที่กลับคาดการณ์ว่า การประท้วงจะยืดเยื้อไปอีกหลายสัปดาห์ และกระทั่งอาจขยายไปจนถึงเดือนเมษายนและพฤษภาคมด้วยซ้ำ ดังนั้นนักลงทุนจึงยังควรต้องระมัดระวังตัว
กำลังโหลดความคิดเห็น