เอเจนซี - ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเกือบ 2 เปอร์เซ็นต์เมื่อวันศุกร์(26) หลังสหรัฐฯปรับเพิ่มจีดีพีไตรมาส 4 ก่อความหวังต่อการเติบโตทางอุปสงค์พลังงานในชาติผู้บริโภครายใหญ่ ทว่าปัจจัยนี้ถูกฉุดด้วยข้อมูลภาคอสังหาริมทรัพย์อันอ่อนเปลี้ย จนทำให้วอลล์สตรีท ปิดบวกเพียงเล็กน้อย
สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 1.49 ดอลลาร์ ปิดที่ 79.66 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่งผลให้ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นถึง 6.77 ดอลลาร์หรือกว่า 9 เปอร์เซ็นต์ นับเป็นร้อยละสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2009 ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 1.30 ดอลลาร์ ปิดที่ 77.59 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันขยับขึ้นตามหลังเศรษฐกิจสหรัฐฯที่เติบโตกว่าที่คิดไว้ในเบื้องต้น หลังรายงานของรัฐบาลที่เปิดเผยเมื่อวันศุกร์(26)ได้ปรับเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ไตรมาส 4 จากเดิม 5.7 เป็น 5.9 เปอร์เซ็นต์ ก่อความคาดหมายว่าอุปสงค์น้ำมันในชาติผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่ที่สุดของโลกจะขยับขึ้นตามไปด้วย
อย่างไรก็ตามปัจจัยบวกจากอัตราการเติบโตเศรษฐกิจนี้ไม่อาจผลักดันให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯพุ่งทะยานได้ โดยเมื่อวันศุกร์(26) วอลล์สตรีท ปิดบวกเพียงเล็กน้อย หลังถูกเหนี่ยวรั้งจากข้อมูลอันน่าผิดหวังของยอดจำหน่ายบ้าน
ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 3.25 จุด (0.03 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 10,324.28 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 4.04 จุด (0.18 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,238.26 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 1.54 จุด (0.14 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,104.47 จุด
ในรายงานอีกชิ้นของรัฐบาลสหรัฐฯ เปิดเผยว่ายอดจำหน่ายบ้านมือสองของสหรัฐฯในเดือนมกราคม ลดลงถึง 7.2 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีก่อน เพิ่มข้อสงสัยต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นศูนย์กลางแห่งวิกฤตทางการเงินโลก
