xs
xsm
sm
md
lg

ถ้าเหตุการณ์‘ไทเกอร์ วูดส์’ขับรถชนเกิดขึ้นใน‘อินเดีย’

เผยแพร่:   โดย: สิทธาร์ถ ศรีวัสตวา

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์www.atimes.com)

If Tiger Woods had crashed in India
By Siddharth Srivatava
11/12/2009

ถ้าเรื่องราวที่กลายเป็นข่าวเกรียวกราวฮือฮาของไทเกอร์ วูดส์ เกิดขึ้นในอินเดียแล้ว มันก็คงไม่กลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่เร้าอารมณ์ระดับโลกเช่นนี้หรอก ในแดนภารตะ ตำรวจจะเป็นคนสุดท้ายเสมอที่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์รถชนอะไรขึ้นมา ซึ่งก็คือมักจะต้องรอจนกระทั่งพวกเขาพบว่ามีเศรษฐีร่ำรวยเกี่ยวข้องพัวพันด้วยนั่นแหละ นอกจากนั้นถ้าพิจารณาตามประเพณีของอินเดียแล้ว ภรรรยาของวูดส์ต่างหาก คือผู้ที่จะต้องโทษตนเองว่าเป็นผู้รับผิดชอบทำให้สามีเกิดไปนอกใจมีกิ๊กมีเมียน้อยขึ้นมา และเธอน่าที่จะต้องพยายามไถ่โทษล้างบาป ด้วยการทรมานตนอดอาหารอย่างทรหด ตลอดจนเที่ยวจาริกไปบูชาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ทั่วประเทศ

นิวเดลี – หากเรื่องราวที่กลายเป็นข่าวเกรียวกราวฮือฮาของ ไทเกอร์ วูดส์ เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมอย่างประเทศอินเดียแล้ว มันคงจะผิดแผกแตกต่างออกไปจากสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ไม่ใช่น้อยๆ เลย

เมื่อนักกอล์ฟผู้นี้ขับรถชนที่บริเวณด้านนอกบ้านพักของเขา ตำรวจและรถพยาบาลจะต้องเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่อง ทั้งนี้ถ้าคิดถึงสภาพอันน่าสังเชของบริการเหล่านี้ในแดนภารตะ นอกจากนั้นจะไม่มีใครสนใจโทรศัพท์หรือแจ้งให้พวกเขาทราบด้วย เนื่องจากพวกเขาไม่เคยมาในเวลาที่เราต้องการความช่วยเหลือหรอก แถมยังไม่มีใครต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับ “คดีความของตำรวจ” ที่อาจกินเวลาลากยาวกันเป็นปีๆ โดยที่ปกติแล้วผู้คนที่บริสุทธิ์นั่นแหละจะถูกรังแกหนักที่สุด

วูดส์จะถูกนำตัวกลับบ้านโดยพวกเพื่อนบ้านที่ปกติแล้วมีนิสัยเอื้ออารีช่างช่วยเหลือทว่าก็เป็นพวกเมาท์แตกช่างจ้อด้วยเช่นกัน “เขากำลังมีเรื่องนอกใจไปมีกิ๊กมีเมียน้อย ก็เลยมีปัญหากับเมีย” พวกเขาจะพูดกันเช่นนี้ แต่แน่นอนว่าจะเล่าสู่กันฟังแบบกระซิบกระซาบกันเท่านั้น เนื่องจากเรื่องราวอย่างนี้เขาไม่พูดกันโฉ่งฉ่างโจ่งแจ้งหรอก ไม่มีการออกมาพูดในที่สาธารณะ, พูดกับสื่อมวลชน, และไม่มีทางเลยที่จะพูดต่อหน้าต่อตาผู้เป็นภรรยา

ในเวลาไม่นานนัก บริเวณด้านนอกบ้านพักของวูดส์ซึ่งเป็นที่เกิดเหตุรถชน อาจทำท่าจะเกิดเป็นเหตุจลาจลขึ้นมา โดยเราอาจสมมุติกันก่อนว่าบ้านพักของเขาอยู่ในย่านที่มีผู้คนอาศัยหนาแน่นในเดลีหรือมุมไบ ซึงทางเท้าริมถนนเป็นที่อยู่แสนสุขของคนไร้บ้านจำนวนนับล้านๆ ไม่นานนักเรื่องก็คงจะปรากฏออกมาว่า คนขับรถคันดังกล่าวอยู่ในอาการมึนเมา และขณะที่พยายามจะหลบหนีภรรยาของตัวเอง ก็เลยขับพาหนะของเขาทับพวกขอทานและคนงานก่อสร้างที่กำลังนอนหลับอุตุอยู่บนทางเท้าตรงนั้นในตอนกลางคืน น่าจะมีสักสองสามคนที่เสียชีวิตไปโดยไม่ทราบเลยว่าอะไรมาชนมาทับพวกเขา

หลังจากเวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง ตำรวจก็มาถึงจนได้เนื่องจากพวกเขาได้กลิ่นว่าอุบัติเหตุคราวนี้พัวพันกับเศรษฐีร่ำรวยคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เป็นนักการเมืองหรือข้าราชการ หรือเป็นนักธุรกิจมั่งคั่งที่มีเส้นสายคอนเน็กชั่น พวกเขาจะต้องรู้สึกสงสัยอยู่ครามครันด้วยซ้ำว่า การเป็นนักตีกอล์ฟถือเป็นอาชีพอย่างหนึ่งได้หรือ

พวกเขาจะดื่มน้ำชากันไปหลายๆ แก้ว เพื่อรอเวลาให้วูดส์ฟื้นคืนสติขึ้นมา จากนั้นก็จะขอให้เขาหายใจเข้าไปในเครื่องมือแสนสกปรกที่ติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรคอื่นๆ เพื่อทดสอบระดับแอลกอฮอล์ ครั้นแล้วพวกเขาก็จะข่มขู่ว่าจะยึดใบขับขี่ (ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ใช่จะหามาได้ง่ายๆ เมื่อพิจารณาถึงความไร้ประสิทธิภาพของระบบงานในแดนภารตะ) และยึดยานพาหนะที่ก่อเหตุ ถ้าหากวูดส์ไม่ยอมให้การดูแลพวกเจ้าหน้าที่เหล่านี้กันตามสมควร เมื่อมีการยื่นการรับสินน้ำใจที่เป็นตัวเงินทองและสุราสิ่งมึนเมากันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็จะก้าวออกมานอกบ้านและชักปืนยิงขึ้นฟ้าเพื่อขับไล่ฝูงชน สมุดรับแจ้งความของสถานีตำรวจจะบันทึกเอาไว้ว่า “ไม่พบร่องรอยของแอลกอฮอล์” ส่วนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจะไม่มีการระบุถึงเอาเลยด้วยซ้ำ

ทางด้านสื่อมวลชนซึ่งซึมซับเอาความรู้สึกอ่อนไหวแบบชนชั้นกลางเข้ามาเป็นของตนเองไปแล้ว จะออกติดตามสืบค้นเจาะไชหาข่าวแง่มุมต่างๆ ของเรื่องนี้ เนื่องจากมันมีองค์ประกอบที่ทรงพลังมากและขายได้แน่ๆ นั่นคือ คนรวยขับรถคันเบ้อเริ่มทับคนจนตายตั้งหลายคน มีเพียงนักข่าวชั้นเซียนที่ผ่านประสบการณ์อย่างเช่นการทำข่าวเหตุการณ์ประเภทผู้ก่อการร้ายโจมตีนครมุมไบในเดือนพฤจิกายนปีที่แล้ว (และพวกเขาเหล่านี้แหละคือพวกที่เสนอภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาได้อย่างแจ่มกระจ่างมีชีวิตชีวา ในแบบของผู้ประสบเหตุโดยตรง รวมทั้งการปะติดปะต่อโยงใยไปถึงพวกผู้ประสานงานหัวรุนแรงที่ตั้งฐานอยู่ในปากีสถานด้วย) จึงจะได้รับคัดเลือกให้มาทำข่าวเรื่องนี้

พวกนักข่าวอาวุโสจะเฝ้ากันอยู่ด้านนอกบ้านของวูดส์ชนิดไม่ให้คลาดสายตาตลอด 24 ชั่วโมง ขณะที่นักข่าวอื่นๆ กระจัดกระจายกันไปตามโรงพยาบาลต่างๆ ในสถานที่เหล่านั้น พวกเขาจะดึงดันกระชากเอากล้องและไมโครโฟนของพวกเขาผ่านร่างเหยื่อเคราะห์ร้ายจากอุบัติเหตุที่สิ้นชีพไปแล้วหรือที่กำลังจะเสียชีวิต เพื่อให้ได้ภาพได้เสียงแสดงบรรยากาศอย่างดีที่สุด โดยไม่ใยดีกับคำแนะนำทางการแพทย์หรือการแทรกแซงขัดขวางใดๆ ด้วยข้ออ้างสำคัญเรื่องเสรีภาพของสื่อมวลชนและสิทธิตามระบอบประชาธิปไตย

แล้วในที่สุดคดีนี้ก็ขึ้นสู่ศาลจนได้ ถึงตอนนั้นคงมีการยื่นการรับเงินทองจำนวนมากผ่านมือใครต่อใครหลายหลากแล้ว โดยคนที่เกี่ยวข้องน่าจะมีทั้งเพื่อนฝูงที่มีตำแหน่งฐานะของวูดส์, ญาติๆ ของเขา, ทนายความ, และนายตำรวจคนสำคัญๆ ยิ่งมีเงินสดเป็นแรงจูงใจสูงลิ่วด้วยแล้ว ตำรวจก็คงตรวจพบว่ารถที่วูดส์กำลังขับขี่ในเวลาที่เกิดเหตุนั้น ไม่ได้จดทะเบียนในชื่อของวูดส์หรอก เนื่องจากมันเป็นรถยนต์ที่นำเข้าแบบหนีภาษีจากต่างประเทศ

ดังนั้นศาลก็จะได้รับแจ้งว่าคดีนี้เป็นการปั้นแต่งขึ้นมาใส่ร้ายวูดส์โดยสิ้นเชิง วูดส์ไม่ได้เป็นเจ้าของยานพาหนะคันนั้น ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางที่จะเป็นผู้ขับขี่รถคันดังกล่าว อุบัติเหตุคราวนี้จึงอาจเกิดขึ้นด้วยฝีมือของคนขับรถบรรทุกใจร้อน ซึ่งได้หลบหนีจากที่เกิดเหตุท่ามกลางความมืดมิดของยามราตรี ดังนั้นจึงไม่มีใครจดทำเลขทะเบียนรถได้เลย พวกพยานทั้งหลายที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์ก็ไม่น่าเชื่อถือเพราะตอนนั้นคนเหล่านี้ต่างกำลังนอนหลับกันอยู่ จำนวนคนที่ตายและบาดเจ็บก็จะถูกตำรวจลดให้น้อยลง เนื่องจากบางคนเป็นผู้อพยพผิดกฎหมายจากบังกลาเทศซึ่งไม่ได้มีทะบียนมีบันทึกใดๆ ระบุว่าพวกเขากำลังใช้ชีวิตอยู่ในอินเดีย รายงานของสื่อมวลชนเกี่ยวกับผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตที่แท้จริงก็จะถูกบอกปัดปฏิเสธว่าเป็นเพียงการพูดเกินเลยให้เกิดความตื่นเต้นเพื่อขายข่าวเท่านั้นเอง

พวกคนดังๆ ระดับท็อปบางคนของอินเดีย ซึ่งชอบหนักหนาที่จะได้ปรากฏตัวทางทีวีไม่ว่าในโอกาสใด (แถมคนเหล่านี้จำนวนมากก็มีรายงานว่ามีการนอกใจภรรยาไปมีกิ๊ก หรือมีภรรยาเป็นตัวเป็นตนกันหลายๆ คนอยู่แล้วด้วย) ก็จะออกมาให้ข่าวแสดงการสนับสนุนวูดส์ พวกเขาอาจจะมีทั้งดาราภาพยนตร์อย่างเช่น อามีร์ ข่าน, ซาอิฟ อาลี ข่าน, วิโนด กันนา, อมิตาบ บาคจัน, กาบีร์ เบดี, เชการ์ กาปูร์, โบนีย์ กาปัวร์, มเหช ภัตต์ หรือพวกนักคริกเก็ตอย่างเช่น โมฮัมเหม็ด อาซูรุดดีน, เซารัฟ กังกูลี, และยุวราช ซิงห์

ถึงตอนนี้ภรรยาของวูดส์จะรู้สึกเสียใจอย่างที่สุด สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับสามีของเธอ และจะรู้สึกว่าตัวเธอเองต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเธอ เนื่องจากตามประเพณีของอินเดียนั้น สามีคือพระเจ้าและทำอะไรก็ได้โดยไม่มีความผิด เธอจะต้องทำการอดอาหารอย่างทรหดและเดินทางจาริกไปบูชาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ทั่วประเทศเพื่อชำระล้างบาปของเธอ

พวกกิ๊กพวกเมียน้อยของวูดส์จะพากันหายวับไปจากเหตุการณ์ เนื่องจากสำหรับสาวๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงาน ซึ่งอาจจะคบค้ากับวูดส์เพราะต้องการช่วงเวลาดีๆ (ทั้งบนเตียงและทั้งอย่างอื่นๆ) ไม่มีทางเลยที่จะไปปรากฏตัวต่อสื่อมวลชน เพราะพวกเธอจำเป็นจะต้องรักษาเกียรติของวงศ์ตระกูลเอาไว้ไม่ให้เสื่อมเสีย พวกเธอจะต้องได้รับการอบรมบ่มสอนจากแม่ๆ ของพวกเธอว่าจะต้องสงวนรักษาความเป็นพรหมจารีเอาไว้ เพื่อเป็นของขวัญอันวิเศษที่สุดแก่สามีในคืนวิเศษที่สุดแห่งการแต่งงานของพวกเธอ และความบริสุทธิ์แห่งความเป็นหญิงพรหมจารีนี้แหละ ก็เป็นสิ่งที่บรรดาพระเจ้าสามีชาวอินเดียเห็นว่ามีคุณค่าอย่างที่สุดด้วย ส่วนพวกกิ๊กพวกเมียน้อยซึ่งเป็นสาวแต่งงานแล้วก็ยิ่งต้องเก็บตัวเงียบกริบด้วยเหตุผลที่เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว

ย้อนกลับมายังเหตุการณ์อุบัติเหตุคราวนี้ พวกกุลีและคนงานก่อสร้างที่รอดชีวิตหลังถูกรถชนรถทับ จะตื่นฟื้นขึ้นมาจากอาการสิ้นสติของพวกเขาในโรงพยาบาล โดยพบว่าไตข้างหนึ่งของพวกเขาหายไป พวกเขาจะได้รับการบอกเล่าว่าพวกเขาโชคดีมากแล้วที่รอดชีวิตมาได้ และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลตลอดจนตำรวจก็จะสั่งให้พวกเขาเก็บของออกจากโรงพยาบาลไปโดยเร็ว

วูดส์จะกลับไปเล่นกอล์ฟอาชีพรายการต่างๆ โดยที่มีทั้งภรรยาและบรรดากิ๊กคอยเอาอกเอาใจ --ทั้งนี้ถ้าหากเขาบังเอิญเกิดมาเป็นชาวอินเดียนะครับ

สิทธาร์ถ ศรีวัสตวา เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่พำนักอยู่ในนิวเดลี สามารถติดต่อกับเขาได้ที่ sidsri@yahoo.com
กำลังโหลดความคิดเห็น