รมต.“เอเปก” ประกาศใช้มาตรการกระตุ้น ศก.โลกต่อไป

เอเอฟพี - รัฐมนตรีกลุ่มเอเปก ประกาศความทะเยอทะยานว่าต้องการจะจัดตั้งเขตการค้าเสรีระดับกว้างในเอเชียแ-แปซิฟิก และเรียกร้องให้มีการเปิดช่องทางให้เข้าถึงเทคโนโลยีสีเขียวได้ง่ายขึ้น เพื่อต่อสู้กับปัญหาโลกร้อน นอกจากนี้ ยังเห็นพ้องกันว่า จะยังไม่ยกเลิกการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโลก

แถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศและการค้ากลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจแห่งเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) จากเขตเศรษฐกิจ 21 แห่ง ในวันนี้ ระบุว่า เอเปกจำกำหนดให้เจ้าหน้าที่ศึกษาการตั้งเขตการค้าเสรีขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นเป้าหมายในระยะยาวของกลุ่มเอเปก โดยเขตการค้าเสรีแห่งเอเชีย-แปซิฟิก (Free Trade Area of the Asia-Pacific- FTAAP) ที่ได้รับการเสนอมานี้ จะครอบคลุมสมาชิกทั้งหมด 21 เขตเศรษฐกิจ ขยายจากชิลีไปถึงจีนโดยผ่านสหรัฐฯ

บรรดารัฐมนตรีชุดนี้ ยังให้คำมั่นว่า จะเปิดการค้าสินค้าและบริการเพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกและการพัฒนาที่ยั่งยืน

ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกที่เกิดจากมือมนุษย์นั้นเป็น “หนึ่งในปัญหาท้าท้ายอันใหญ่ยิ่งที่โลกกำลังเผชิญ” รัฐมนตรีทั้งหลายระบุ ในการปิดการประชุมประจำปีระยะเวลา 2 วัน ที่ประเทศสิงคโปร์ในวันนี้(12) ก่อนที่จะมีการประชุมสุดยอดระดับผู้นำในวันเสาร์

“เราจะพยายามที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตสอดคล้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืน” “เรายังจะเดินหน้าเพื่อทำให้มีการแพร่กระจายเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้ง่ายขึ้น” แถลงการณ์ร่วมระบุ และเสริมว่า จะทำงานหนักเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการฟื้นฟูสภาพป่าด้วย

ส่วนการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของเอเปก ในวันเดียวกันนี้ ที่ประชุมได้เห็นพ้องกันว่า จะดำเนินแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป โดยเห็นว่าขั้นตอนการหยุดมาตรการกระตุ้นมีหลายขั้น และต้องค่อยๆ หยุดไปตามขั้นตอนนั้น แต่ยังไม่ใช่ในขณะนี้

ทั้งนี้ บรรดารัฐมนตรีจากกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจแห่งเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) เดินทางถึงสิงคโปร์เพื่อเตรียมการประชุมสุดยอดที่จะมีขี้นในระหว่างวันเสาร์-อาทิตย์ (14-15)

ประชากรของเอเปกถือเป็นร้อยละ 40.5 จากประชากรโลก มีจีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) ร้อยละ 54.2 และปริมาณการค้าร้อยละ 43.7 ของโลก สมาชิกทั้งหมด ได้แก่ ออสเตรเลีย บรูไน แคนาดา ชิลี จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุุ่น มาเลเซีย เม็กซิโก นิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินี เปรู ฟิลิปปินส์ รัสเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย สหรัฐฯ และ เวียดนาม