เอเจนซี/เอเอฟพี - ราคาน้ำมันร่วงลงเกือบ 6 เปอร์เซ็นต์เมื่อวันพุธ (29) ดิ่งลงวันเดียวแรงสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน กลับไปแตะระดับ 63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากสต๊อกน้ำมับดิบสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะที่วอลล์สตรีทปิดลบเล็กน้อย ตามแรงฉุดจากตลาดหุ้นจีนและข้อมูลภาคการผลิตของมะกัน
สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (อีไอเอ) ระบุว่าคลังน้ำมันดิบของชาติผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่ที่สุดในโลก เพิ่มขึ้นถึง 5.1 ล้านบาร์เรลในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 24 กรกฎาคม ขณะที่นักวิเคราะห์คาดหมายก่อนหน้านี้ว่าสต๊อกอาจไม่เปลี่ยนแปลง
สต๊อกที่เพิ่มขึ้นมีขึ้นสืบเนื่องจากปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบสูงสุดในรอบ 6 เดือนและโรงกลั่นลดอัตราการผลิตลง
น้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนกันยายน ลดลง 3.88 ดอลลาร์หรือ 5.77 เปอร์เซ็นต์ ปิดที่ 63.35 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นับเป็นการปิดลบในร้อยละที่สูงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน ด้านเบรนท์ลอนดอน ลดลง 3.35 ดอลลาร์ ปิดที่ 66.53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
รายงานของอีไอเอ ระบุว่าในช่วง 4 สัปดาห์หลังสุด ปริมาณการบริโภคพลังงานของสหรัฐฯ ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันนี้ของปีก่อน 4.1 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะอุปสงค์น้ำมันกลั่นที่ดิ่งลงถึง 10.7 เปอร์เซ็นต์ ในจำนวนนั้นรวมไปถึงดีเซลซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่ใช้ในอุตสาหกรรม ทำให้คลังน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 25 ปี ขณะที่สต๊อกน้ำมันเบนซินร่วงลง
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวันพุธ (29) ปิดตัวในแดนลบเล็กน้อย หลังพุ่งขึ้นอย่างมากเมื่อเร็วๆนี้ ทั้งนี้วอลล์สตรีทปรับลดตามตลาดหุ้นจีนและข้อมูลทางภาคอุตสาหกรรมของอเมริกาที่อ่อนแอเกินความคาดหมาย
ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ลดลง 26 จุด (0.29 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 9,070.72 จุด แนสแดค ลดลง 7.75 จุด (0.39 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,967.76 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 4.47 จุด (0.46 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 975.15 จุด
วอลล์สตรีท ขยับลงตามหลังตลาดหุ้นจีน ที่ดัชนีหลักทรัพย์หลัก ร่วงลงถึง 5.0 เปอร์เซ็นต์ นับว่าดิ่งแรงที่สุดในรอบปี ส่วนข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ที่ระบุว่าคำสั่งซื้อสินค้าครุภัณฑ์ของภาคอุตสาหกรรมมะกัน ร่วงลง 2.5 เปอร์เซ็นต์ในเดือนมิถุนายน หลังจากก่อนหน้านี้เพิ่มขึ้นมา 2 เดือนติด ก็เป็นอักหนึ่งปัจจัยที่ฉุดให้ตลาดปิดตัวในแดนลบ