(จากเอเชียไทมส์ออนไลน์www.atimes.com)
The rise and fall of Prabhakaran
By M K Bhadrakumar
19/05/2009
การบูชาบวงสรวงทั้งหลายทั้งปวง ที่อินเดียกระทำถวายแด่องค์พระพิฆเนศเพื่อสวัสดิมงคลทุกๆ เช้า ไม่สามารถที่จะชะล้างความรู้สึกผิดที่ประเทศชาติแห่งนี้แบกรับอยู่ – ความสำนึกบาปจากการสาปแช่งของวิญญาณคนตาย 70,000 คน อินเดียคือคนที่สร้าง เวฬุพิไล ประภาการัน ผู้นำสูงสุดของพยัคฆ์ทมิฬ แต่เมื่อไปบีบคั้นเขา เขาก็ตอบโต้กลับคืนมา เขาสังหารผู้นำซึ่งเป็นที่รักของอินเดียและกลายเป็นศัตรูของแดนภารตะไปตลอดกาล
การเสียชีวิตของผู้นำสูงสุดกลุ่มปลดแอกพยัคฆ์ทมิฬอีแลม (the Liberation Tigers of Tamil Eelam) เวฬุพิไล ประภาการัน (Velupillai Prabhakaran) เมื่อประมาณวันที่ 19 พฤษภาคม 2009 ในสภาพแวดล้อมซึ่งเราคงจะไม่มีทางได้รู้ได้ทราบ ควรถือเป็นจุดจบของบทละครสอนศีลธรรมเรื่องหนึ่ง
เมื่อม่านเวทีถูกปล่อยลงมาและเราเดินออกจากโรงละคร ภาพอันน่าตื่นเต้นก็ยังคงตามมาหลอกหลอนเรา เรารู้สึกถึงความไม่สบายใจที่ซ่อนอยู่ลึกๆ และไม่อาจหาเหตุผลมาอธิบายได้ อะไรบางอย่างตรงไหนสักแห่งกำลังก่อให้เกิดความคับแค้นใจ ครั้นแล้วเราก็ตระหนักขึ้นมาว่า มือของเรากำลังเปื้อนเลือด
ไม่เพียงแค่มือของเราหรอก แต่ตลอดทั้งร่างกายของเราและลึกล้ำลงไปอีก ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเรา –หรือส่วนที่ยังเหลืออยู่ของความรู้สึกนี้หลังจากผ่านสมรภูมิทางโลกครั้งแล้วครั้งเล่าในระหว่างการใช้ชีวิตประจำวันของเรา –ก็กำลังชุ่มโชกไปด้วยเลือดที่หยาดหยดออกมาเช่นกัน
เลือดของประภาการัน ไม่ใช่หรอก มันไม่ใช่เพียงของประภาการันเท่านั้น แต่ยังเป็นเลือดของชาวทมิฬศรีลังกา 70,000 คนผู้ถูกกำจัดกวาดล้างไปในความรุนแรงที่เลวร้ายถึงขั้นพูดไม่ออก ตลอดช่วงเวลาเสี้ยวศตวรรษที่ผ่านมา
การบูชาบวงสรวงทั้งหลายทั้งปวง ที่เราจะกระทำถวายแด่องค์พระพิฆเนศ องค์เทพเจ้าฮินดูซึ่งเป็นที่นิยมชมชื่นเป็นพิเศษของเรา เพื่อให้เกิดสวัสดิมงคลในทางศาสนาทุกๆ เช้า เพื่อเราจักได้ก้าวเดินไปข้างหน้าในชีวิตของเราจากความสำเร็จหนึ่งสู่อีกความสำเร็จหนึ่ง ก็ยังไม่สามารถที่จะชะล้างความรู้สึกผิดที่เรากำลังแบกรับอยู่ – ความสำนึกบาปจากการสาปแช่งของวิญญาณคนตาย 70,000 คน
ลูกๆ ของเราและหลานๆ ของเราจักต้องสืบทอดมหาคำสาปแช่งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ช่างเป็นมรดกที่ขมขื่นเสียนี่กระไร !
นานมาแล้ว เราได้สร้างประภาการันขึ้นมา เราเลือกเขาขึ้นมาในสภาพที่เขาเป็นเหมือนเด็กซุกซนไม่มีหัวนอนปลายตีน สิ่งที่เราพบว่าช่างเป็นเสน่ห์ของตัวเขาก็คือ เขาช่างไม่ได้รู้เรื่องการเมืองเอาเสียเลย –แทบจะเป็นคนไร้เดียงสาเกี่ยวกับการเมืองทีเดียว ในหลายๆ ด้านแล้วเขาคือคนโง่เซ่อซ่า ที่มีความหลงใหลอย่างแรงกล้ากับอาวุธยุทโธปกรณ์ และกฎเกณฑ์การปกครองทหาร เขาช่างเหมาะสมกับความต้องการของเราอย่างที่สุด
ความต้องการของเราก็คือการสร้างความอับอายให้แก่รัฐบาล จูเนียส ริชาร์ด ชยะวรรธะเน (Junius Richard Jayewardene) ในศรีลังกา และสั่งสอนบทเรียนอันเจ็บปวดแก่พวกเขาให้ทราบถึงอันตรายของการไม่ให้ความเคารพแก่ฐานะความเป็นมหาอำนาจไร้เทียมทานในย่านมหาสมุทรอินเดียของประเทศอินเดีย ชยะวรรธะเนมีความเป็นตะวันตกมากเกินไป และประพฤติตนราวกับว่าเขาไม่เคยศึกษาเรื่องเกี่ยวกับลัทธิมอนโรเลยเมื่อตอนที่เขาศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ที่ออกซ์ฟอร์ด เราไม่ได้ชอบใจสักนิดเลยจากการที่เขาเกี้ยวพาราสีอิสราเอลและอเมริกาจากเขตหลังบ้านของเราแท้ๆ
ดังนั้น เราจึงเลี้ยงดูอบรมประภาการัน และสร้างเขาขึ้นมาให้เป็นเสมือนปฏักที่คอยทิ่มแทงความยโสโอหังของชยะวรรธเน –เหมือนๆ กับ ผู้นำชาวซิกข์ จาระนาอิล สิงห์ ภิณฑรันวาเล แห่ง เดคคาน (Jarnail Singh Bhindranwale of the Deccans)
ครั้นแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป เราก็ตัดสินใจว่าเขามีชีวิตยืนยาวเกินกว่าประโยชน์ใช้สอยของเขาเสียแล้ว ในเมื่อถึงตอนนั้นเราได้หันไปพัฒนาทัศนะมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ต่อรัฐบาลกรุงโคลัมโบซึ่งยังคงมีทิศทางนิยมตะวันตก ผู้นำจอมอีโก้ของเราในเดลลีที่เกลียดชังชยะวรรธเนก็ไม่อยู่ในอำนาจอีกแล้ว ส่วนผู้นำใหม่ที่พูดจาสุภาพเรียบร้อยของเราก็ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมในความรู้สึกชิงชังทางการเมืองเช่นนี้ของผู้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้าเขา
ดังนั้น เราจึงเกลี้ยกล่อมกดดันประภาการันให้เพลาๆ ลง และประพฤติตนให้อยู่ในร่องในแนวอันสอดคล้องกับการจัดลำดับความสำคัญของเราที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่เราไม่ได้ตระหนักเลยว่าเมื่อถึงตอนนั้นเขาก็ได้เติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวไปแล้ว
เขาต่อต้านยุทธวิธีแบล็กเมล์และบีบคั้นของเรา เมื่อเรายิ่งบีบคั้นเขามากขึ้นอีกและพยายามเอาเขาใส่ปลอกคอ เขาก็โจมตีตอบโต้กลับ เขาจัดส่งทีมมือสังหารมาอินเดียและฆ่าผู้นำซึ่งเป็นที่รักของเรา แล้วเขาก็กลายเป็นศัตรูของเราไปตลอดกาล
กระนั้นก็ตาม เราไม่สามารถทำอะไรที่จะสร้างความเสียหายให้เขาได้เลย เขาอยู่ในฐานะที่เข้มแข็งเหลือเกิน กลายเป็นกษัตริย์ที่ไร้มงกุฎในหมู่ประชาชนของเขาไปเสียแล้ว ดังนั้นเราจึงเฝ้ารอคอย เรามีความอดทนมากมายมหาศาล ใครจะทัดเทียมเราได้ในเรื่องความอดทนอันไม่มีที่สิ้นสุด ขอให้ลองถึงประวัติศาสตร์ของเราที่ยาวนานถึง 5,000 ปีเถิด ศาสนาของเราที่มีขอบเขตกว้างไกลครอบจักรวาล ได้ประทานภูมิปัญญาอันพิเศษโดดเด่นแก่เราซึ่งทำให้มีความอดทนและความสมถะ และการรู้จักรอคอยให้ถึงเวลาของเรา
และแล้ว โอกาสอันงดงามก็มาถึง เราเร่งเคลื่อนไหวเพื่อการล่าสังหาร ด้วยการนำเอาตัวเราเข้าผูกพันธมิตรกับศัตรูของประภาการัน เราติดอาวุธพวกเขาและฝึกฝนพวกเขาให้มีทักษะดียิ่งขึ้นในการฆ่า เราชี้นำพวกเขาด้วยข่าวกรองอันดีเยี่ยม เราสกัดเส้นทางหลบหนีทุกๆ เส้นทางที่ประภาการันอาจจะใช้ได้ จากนั้นเราก็เฝ้ารอคอยอย่างอดทนขณะที่บ่วงเชือกคล้องรัดรอบคอของประภาการันแน่นขึ้นๆ
เวลานี้ ไม่มีเขาอยู่อีกแล้ว เชื่อหรือไม่ว่าเรานั้นไม่ได้มีบทบาทอะไรในการตายของเขาเลย เขาตายอย่างไรและเมื่อใดจะยังคงเป็นปริศนาที่ห่อหุ้มด้วยความลึกลับไปตลอดกาล แน่นอนว่าเราจักไม่มีการเปิดเผยสิ่งที่เรารู้เห็น
เรื่องที่ต้องถือเป็นเรื่องสำคัญก็มีเพียงว่า โลกจะต้องตื่นขึ้นมารับทราบการตายนี้ต่อเมื่อภายหลังการลงคะแนนเสียงในรัฐทมิฬนาฑู ทางภาคใต้ของอินเดียในวันที่ 13 พฤษภาคมได้ผ่านพ้นไป ไม่เช่นนั้นแล้ว ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาก็อาจจะยุ่งเหยิงวุ่นวายและไม่เป็นผลดีกับเรา วิถีทางแห่งระบอบประชาธิปไตยของอินเดียช่างแปลกประหลาดนัก
เราได้ล้างแค้นของเราแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรสำคัญอีกแล้วสำหรับในปัจจุบัน
อะไรที่จะต้องทำกันต่อไปละหรือ ? เราจะยังคงส่งเสียงดังในเรื่องการหา “ทางออกทางการเมือง” ให้แก่ปัญหาชาวทมิฬ ในขณะที่ประภาการันนั้นเป็นเจ้าในการต่อสู้แก้ไขปัญหานี้ด้วยวิธีการใช้ความรุนแรง
แน่นอนทีเดียว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราจะต้องหยิบยื่นความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเป็นระยะๆ ให้แก่พลเรือนชาวทมิฬหลายแสนคน ผู้กำลังถูกกวาดต้อนเข้าอยู่ตามค่ายพัก และน่าจะต้องอยู่อย่างอ่อนระโหยไปจนกว่าฝุ่นที่ปลิวคลุ้งจะจางคลายสงบลง เราจักสาธิตให้เห็นว่าแท้ที่จริงนั้นเราสามารถที่จะเป็นน้ำนมแห่งความเมตตาของมนุษย์ได้ทีเดียว ถึงอย่างไรชาวทมิฬศรีลังกาก็เป็นส่วนหนึ่งแห่งความสำนึกทางประวัติศาสตร์ของเราอยู่แล้ว
แต่เราก็ต้องมองโลกแห่งความเป็นจริงด้วย เราทราบอยู่ในใจแห่งใจของเราแล้วว่า โอกาสสำหรับการแก้ไขด้วยวิถีทางการเมืองในลักษณะที่พวกผู้นำของเราดูเหมือนจะเสนอแนะเอาไว้เมื่ออยู่ในที่สาธารณะนั้น มันเท่ากับศูนย์ในทางเป็นจริง
ชาวสิงหลจักไม่มีทางยินยอมให้โลกบงการพวกเขาเข้าสู่การแก้ปัญหาโดยทางการเมือง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจะบอกปัดอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด ต่อความพยายามใดๆ ของเราที่จะหาทางมีบทบาทในสิ่งที่นับจากนี้พวกเขาจะยิ่งยืนยันเรื่อยไปว่า เป็นกิจการภายในของพวกเขาอย่างเคร่งครัด
ต้องจดจำเอาไว้เสมอว่าศรีลังกานั้นเป็นหนึ่งในที่มั่นแห่งท้ายๆ ของพุทธศาสนาแบบเถรวาท และสำหรับประชาชนชาวสิงหลแล้ว การรักษามรดกนี้เอาไว้ให้ได้คือภารกิจแห่งโชคลิขิตอันเลอค่ายิ่ง อย่างน้อยที่สุด นั่นคือสิ่งที่พวกเขารู้สึก เราต้องยอมรับถึงน้ำหนักแห่งลัทธิชาตินิยมทางวัฒนธรรมของพวกเขา
พวกเขามองว่าศรีลังกาเป็นดินแดนของชาวสิงหล พวกเขาจะยินยอมได้อย่างไรที่จะให้พวกเราชาวอินเดียผู้ลบล้างพุทธศาสนาออกจากอนุทวีปนี้ด้วยความโหดร้ายป่าเถื่อนถึงขนาดนั้น มาแทรกแซงในเรื่องความตระหนักสำนึกทางโชคลิขิตอันเต็มเปี่ยมของพวกเขา ผู้ซึ่งอยู่ในฐานะของผู้พิทักษ์ปกป้องศาสนาอันยิ่งใหญ่ศาสนาเดียวกันนั้นแหละ ไม่มีทางหรอก ไม่มีทางเลย
หากเราพยายามบีบคั้นชาวสิงหล พวกเขาก็จะไปติดต่อเข้าใกล้ชิดจีนและปากีสถานเพื่อถ่วงดุลแรงกดดันของเรา พวกเขามีความสามารถที่จะกระทำเรื่องแบบนี้
ชาวสิงหลเป็นคนที่มีพรสวรรค์ เราต่างทราบดีว่าแทบไม่มีใครเลยที่อาจทัดเทียมทักษะอันน่าตื่นใจของพวกเขาในเรื่องการบริหารจัดการสื่อ พวกเขาใช้ชีวิตด้วยความมีไหวพริบอยู่ตลอดเวลา
ทักษะที่พวกเขาทำได้ดีพอๆ กัน ก็คือ พวกเขาเป็นผู้ที่สามารถใช้การทูตได้อย่างน่ามหัศจรรย์ เราสงสัยว่าแท้จริงแล้วพวกเขาน่าจะล้ำหน้าเราในเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ในเมื่อพวกเขาไม่ได้เหมือนเราเลยที่กำลังวางท่าแกล้งทำไปวันหนึ่งๆ ราวกับว่าเรานั้นเป็นมหาอำนาจระดับภูมิภาคผู้มีความรับผิดชอบ และพล่าผลาญพลังงานของเราด้วยสิ่งบันเทิงอย่างเช่นการไล่ล่าโจรสลัดโซมาเลียในเขตทะลไกลโพ้น แต่พวกเขาเป็นคนที่มีสมาธิมุ่งตรงไปที่เรื่องซึ่งควรสนใจ
พวกเขามีความทรหดเนื่องจากพวกเขากำลังต่อสู้เพื่อพิทักษ์รักษาอัตลักษณ์แห่งประเทศของพวกเขาในอนาคต ให้ศรีลังกายืนยงคงความเป็นประเทศชาวพุทธต่อไป
เพียงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี้เอง พวกเขาแสดงให้เห็นทักษะทางการทูตของพวกเขา ด้วยการทำให้รัสเซียและจีนออกมาสยบความเคลื่อนไหวมุ่งบีบคั้นพวกเขาในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
พวกยุโรปนั้นเพ้อฝันว่าพวกเขาสามารถเอาชาวสิงหลมาพิจารณาคดีในข้อหาอาชญากรรมสงคราม ช่างไร้เดียงสาอะไรขนาดนี้!
เราเคยถามชาวสิงหลอย่างเป็นการภายในหลายต่อหลายครั้ง ว่าพวกเขาเตรียมจะเดินไปอย่างไรในช่วงเวลาต่อนี้ไป แต่พวกเขาก็ไม่เคยเปิดเผย
แต่เราทราบดีเช่นกันว่า นั่นไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขาไม่มีหนทางออกของพวกเขาเองในเรื่องเกี่ยวกับปัญหาชาวทมิฬ เราทราบดีว่าพวกเขามีพิมพ์เขียวอยู่แล้วด้วยซ้ำ
ดูสิ พวกเขาได้แก้ไขปัญหาชาวทมิฬในบรรดาจังหวัดทางภาคตะวันออกของประเทศ อันได้แก่ ตรินโคมาลี, บัตติคาเลา, และ อัมปารา ไปเรียบร้อยแล้ว ชาวทมิฬไม่ได้เป็นชุมชนส่วนข้างมากในจังหวัดเหล่านี้อีกแล้ว
ในทำนองเดียวกัน ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ พวกเขาจะเริ่มต้นโครงการที่ดำเนินการกันอย่างประสานงานกันและเต็มไปด้วยความแน่วแน่ เพื่อแปรให้พวกจังหวัดทางภาคเหนือซึ่งประภาการันครองอำนาจสูงสุดอยู่ 2 ทศวรรษ กลายสภาพเป็นอาณานิคม พวกเขาจะทำให้เป็นที่มั่นใจได้มากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ภูมิภาคทางตอนเหนือนี้ จะไม่อยู่ในลักษณะเป็นจังหวัดของชาวทมิฬอีกต่อไป
ชาวทมิฬจะถูกทำให้กลายเป็นชุมชนคนกลุ่มน้อยในดินแดนมาตุภูมิภาคเหนือของพวกเขาเอง พวกเขาจะต้องพำนักอาศัยท่ามกลางนิคมชาวสิงหลที่จัดตั้งกันขึ้นมาใหม่ในดินแดนเหล่านี้ไปจนถึงบริเวณเหนือขึ้นไปจาก “ช่องช้าง” (Elephant Pass)
ทั้งหมดเหล่านี้จะอยู่ภายใน “โครงสร้างสหพันธรัฐ” ของศรีลังกา ทั้งนี้ศรีลังกาจะยังคงยึดมั่นอยู่กับระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา
ให้เวลาพวกเขาอย่างมากที่สุดสักทศวรรษหนึ่ง ปัญหาชาวทมิฬจะกลายเป็นโบราณวัตถุชิ้นหนึ่งของประวัติศาสตร์อันนองเลือดแห่งอนุทวีปอินเดียไปเลย
ชาวสิงหลเป็นเพื่อนมิตรที่ดีของอินเดีย ชนชั้นนำของเราและชนชั้นนำของพวกเขาพูดจาด้วยสำนวนเดียวกัน เราต่างพูดภาษาอังกฤษได้ดี, เล่นกอล์ฟ, และชอบเบียร์เย็นๆ ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรอวยพรให้พวกเขา
สำหรับเลือดที่เปื้อนอยู่บนมือของเรานั้น มันเป็นความจริง มันเป็นสิ่งระคายเคืองที่มาจากการสาปแช่ง แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเราที่มือของเราต้องเปื้อนเปรอะไปด้วยเลือด
จงไว้วางใจคำของเรา มันไม่ก่อให้เกิดความเสียหายถาวระอะไรหรอก เลือดนั้นไม่ทิ้งรอยคราบไคลเอาไว้
เอกอัครราชทูต เอ็ม เค ภัทรกุมาร เคยรับราชการเป็นนักการทูตอาชีพในกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย เขาเคยได้รับมอบหมายให้ไปประจำอยู่ในหลายๆ ประเทศ อาทิ สหภาพโซเวียต, เกาหลีใต้, ศรีลังกา, เยอรมนี, อัฟกานิสถาน, ปากีสถาน, อุซเบกิสถาน, คูเวต, และตุรกี
The rise and fall of Prabhakaran
By M K Bhadrakumar
19/05/2009
การบูชาบวงสรวงทั้งหลายทั้งปวง ที่อินเดียกระทำถวายแด่องค์พระพิฆเนศเพื่อสวัสดิมงคลทุกๆ เช้า ไม่สามารถที่จะชะล้างความรู้สึกผิดที่ประเทศชาติแห่งนี้แบกรับอยู่ – ความสำนึกบาปจากการสาปแช่งของวิญญาณคนตาย 70,000 คน อินเดียคือคนที่สร้าง เวฬุพิไล ประภาการัน ผู้นำสูงสุดของพยัคฆ์ทมิฬ แต่เมื่อไปบีบคั้นเขา เขาก็ตอบโต้กลับคืนมา เขาสังหารผู้นำซึ่งเป็นที่รักของอินเดียและกลายเป็นศัตรูของแดนภารตะไปตลอดกาล
การเสียชีวิตของผู้นำสูงสุดกลุ่มปลดแอกพยัคฆ์ทมิฬอีแลม (the Liberation Tigers of Tamil Eelam) เวฬุพิไล ประภาการัน (Velupillai Prabhakaran) เมื่อประมาณวันที่ 19 พฤษภาคม 2009 ในสภาพแวดล้อมซึ่งเราคงจะไม่มีทางได้รู้ได้ทราบ ควรถือเป็นจุดจบของบทละครสอนศีลธรรมเรื่องหนึ่ง
เมื่อม่านเวทีถูกปล่อยลงมาและเราเดินออกจากโรงละคร ภาพอันน่าตื่นเต้นก็ยังคงตามมาหลอกหลอนเรา เรารู้สึกถึงความไม่สบายใจที่ซ่อนอยู่ลึกๆ และไม่อาจหาเหตุผลมาอธิบายได้ อะไรบางอย่างตรงไหนสักแห่งกำลังก่อให้เกิดความคับแค้นใจ ครั้นแล้วเราก็ตระหนักขึ้นมาว่า มือของเรากำลังเปื้อนเลือด
ไม่เพียงแค่มือของเราหรอก แต่ตลอดทั้งร่างกายของเราและลึกล้ำลงไปอีก ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเรา –หรือส่วนที่ยังเหลืออยู่ของความรู้สึกนี้หลังจากผ่านสมรภูมิทางโลกครั้งแล้วครั้งเล่าในระหว่างการใช้ชีวิตประจำวันของเรา –ก็กำลังชุ่มโชกไปด้วยเลือดที่หยาดหยดออกมาเช่นกัน
เลือดของประภาการัน ไม่ใช่หรอก มันไม่ใช่เพียงของประภาการันเท่านั้น แต่ยังเป็นเลือดของชาวทมิฬศรีลังกา 70,000 คนผู้ถูกกำจัดกวาดล้างไปในความรุนแรงที่เลวร้ายถึงขั้นพูดไม่ออก ตลอดช่วงเวลาเสี้ยวศตวรรษที่ผ่านมา
การบูชาบวงสรวงทั้งหลายทั้งปวง ที่เราจะกระทำถวายแด่องค์พระพิฆเนศ องค์เทพเจ้าฮินดูซึ่งเป็นที่นิยมชมชื่นเป็นพิเศษของเรา เพื่อให้เกิดสวัสดิมงคลในทางศาสนาทุกๆ เช้า เพื่อเราจักได้ก้าวเดินไปข้างหน้าในชีวิตของเราจากความสำเร็จหนึ่งสู่อีกความสำเร็จหนึ่ง ก็ยังไม่สามารถที่จะชะล้างความรู้สึกผิดที่เรากำลังแบกรับอยู่ – ความสำนึกบาปจากการสาปแช่งของวิญญาณคนตาย 70,000 คน
ลูกๆ ของเราและหลานๆ ของเราจักต้องสืบทอดมหาคำสาปแช่งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ช่างเป็นมรดกที่ขมขื่นเสียนี่กระไร !
นานมาแล้ว เราได้สร้างประภาการันขึ้นมา เราเลือกเขาขึ้นมาในสภาพที่เขาเป็นเหมือนเด็กซุกซนไม่มีหัวนอนปลายตีน สิ่งที่เราพบว่าช่างเป็นเสน่ห์ของตัวเขาก็คือ เขาช่างไม่ได้รู้เรื่องการเมืองเอาเสียเลย –แทบจะเป็นคนไร้เดียงสาเกี่ยวกับการเมืองทีเดียว ในหลายๆ ด้านแล้วเขาคือคนโง่เซ่อซ่า ที่มีความหลงใหลอย่างแรงกล้ากับอาวุธยุทโธปกรณ์ และกฎเกณฑ์การปกครองทหาร เขาช่างเหมาะสมกับความต้องการของเราอย่างที่สุด
ความต้องการของเราก็คือการสร้างความอับอายให้แก่รัฐบาล จูเนียส ริชาร์ด ชยะวรรธะเน (Junius Richard Jayewardene) ในศรีลังกา และสั่งสอนบทเรียนอันเจ็บปวดแก่พวกเขาให้ทราบถึงอันตรายของการไม่ให้ความเคารพแก่ฐานะความเป็นมหาอำนาจไร้เทียมทานในย่านมหาสมุทรอินเดียของประเทศอินเดีย ชยะวรรธะเนมีความเป็นตะวันตกมากเกินไป และประพฤติตนราวกับว่าเขาไม่เคยศึกษาเรื่องเกี่ยวกับลัทธิมอนโรเลยเมื่อตอนที่เขาศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ที่ออกซ์ฟอร์ด เราไม่ได้ชอบใจสักนิดเลยจากการที่เขาเกี้ยวพาราสีอิสราเอลและอเมริกาจากเขตหลังบ้านของเราแท้ๆ
ดังนั้น เราจึงเลี้ยงดูอบรมประภาการัน และสร้างเขาขึ้นมาให้เป็นเสมือนปฏักที่คอยทิ่มแทงความยโสโอหังของชยะวรรธเน –เหมือนๆ กับ ผู้นำชาวซิกข์ จาระนาอิล สิงห์ ภิณฑรันวาเล แห่ง เดคคาน (Jarnail Singh Bhindranwale of the Deccans)
ครั้นแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป เราก็ตัดสินใจว่าเขามีชีวิตยืนยาวเกินกว่าประโยชน์ใช้สอยของเขาเสียแล้ว ในเมื่อถึงตอนนั้นเราได้หันไปพัฒนาทัศนะมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ต่อรัฐบาลกรุงโคลัมโบซึ่งยังคงมีทิศทางนิยมตะวันตก ผู้นำจอมอีโก้ของเราในเดลลีที่เกลียดชังชยะวรรธเนก็ไม่อยู่ในอำนาจอีกแล้ว ส่วนผู้นำใหม่ที่พูดจาสุภาพเรียบร้อยของเราก็ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมในความรู้สึกชิงชังทางการเมืองเช่นนี้ของผู้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้าเขา
ดังนั้น เราจึงเกลี้ยกล่อมกดดันประภาการันให้เพลาๆ ลง และประพฤติตนให้อยู่ในร่องในแนวอันสอดคล้องกับการจัดลำดับความสำคัญของเราที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่เราไม่ได้ตระหนักเลยว่าเมื่อถึงตอนนั้นเขาก็ได้เติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวไปแล้ว
เขาต่อต้านยุทธวิธีแบล็กเมล์และบีบคั้นของเรา เมื่อเรายิ่งบีบคั้นเขามากขึ้นอีกและพยายามเอาเขาใส่ปลอกคอ เขาก็โจมตีตอบโต้กลับ เขาจัดส่งทีมมือสังหารมาอินเดียและฆ่าผู้นำซึ่งเป็นที่รักของเรา แล้วเขาก็กลายเป็นศัตรูของเราไปตลอดกาล
กระนั้นก็ตาม เราไม่สามารถทำอะไรที่จะสร้างความเสียหายให้เขาได้เลย เขาอยู่ในฐานะที่เข้มแข็งเหลือเกิน กลายเป็นกษัตริย์ที่ไร้มงกุฎในหมู่ประชาชนของเขาไปเสียแล้ว ดังนั้นเราจึงเฝ้ารอคอย เรามีความอดทนมากมายมหาศาล ใครจะทัดเทียมเราได้ในเรื่องความอดทนอันไม่มีที่สิ้นสุด ขอให้ลองถึงประวัติศาสตร์ของเราที่ยาวนานถึง 5,000 ปีเถิด ศาสนาของเราที่มีขอบเขตกว้างไกลครอบจักรวาล ได้ประทานภูมิปัญญาอันพิเศษโดดเด่นแก่เราซึ่งทำให้มีความอดทนและความสมถะ และการรู้จักรอคอยให้ถึงเวลาของเรา
และแล้ว โอกาสอันงดงามก็มาถึง เราเร่งเคลื่อนไหวเพื่อการล่าสังหาร ด้วยการนำเอาตัวเราเข้าผูกพันธมิตรกับศัตรูของประภาการัน เราติดอาวุธพวกเขาและฝึกฝนพวกเขาให้มีทักษะดียิ่งขึ้นในการฆ่า เราชี้นำพวกเขาด้วยข่าวกรองอันดีเยี่ยม เราสกัดเส้นทางหลบหนีทุกๆ เส้นทางที่ประภาการันอาจจะใช้ได้ จากนั้นเราก็เฝ้ารอคอยอย่างอดทนขณะที่บ่วงเชือกคล้องรัดรอบคอของประภาการันแน่นขึ้นๆ
เวลานี้ ไม่มีเขาอยู่อีกแล้ว เชื่อหรือไม่ว่าเรานั้นไม่ได้มีบทบาทอะไรในการตายของเขาเลย เขาตายอย่างไรและเมื่อใดจะยังคงเป็นปริศนาที่ห่อหุ้มด้วยความลึกลับไปตลอดกาล แน่นอนว่าเราจักไม่มีการเปิดเผยสิ่งที่เรารู้เห็น
เรื่องที่ต้องถือเป็นเรื่องสำคัญก็มีเพียงว่า โลกจะต้องตื่นขึ้นมารับทราบการตายนี้ต่อเมื่อภายหลังการลงคะแนนเสียงในรัฐทมิฬนาฑู ทางภาคใต้ของอินเดียในวันที่ 13 พฤษภาคมได้ผ่านพ้นไป ไม่เช่นนั้นแล้ว ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาก็อาจจะยุ่งเหยิงวุ่นวายและไม่เป็นผลดีกับเรา วิถีทางแห่งระบอบประชาธิปไตยของอินเดียช่างแปลกประหลาดนัก
เราได้ล้างแค้นของเราแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรสำคัญอีกแล้วสำหรับในปัจจุบัน
อะไรที่จะต้องทำกันต่อไปละหรือ ? เราจะยังคงส่งเสียงดังในเรื่องการหา “ทางออกทางการเมือง” ให้แก่ปัญหาชาวทมิฬ ในขณะที่ประภาการันนั้นเป็นเจ้าในการต่อสู้แก้ไขปัญหานี้ด้วยวิธีการใช้ความรุนแรง
แน่นอนทีเดียว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราจะต้องหยิบยื่นความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเป็นระยะๆ ให้แก่พลเรือนชาวทมิฬหลายแสนคน ผู้กำลังถูกกวาดต้อนเข้าอยู่ตามค่ายพัก และน่าจะต้องอยู่อย่างอ่อนระโหยไปจนกว่าฝุ่นที่ปลิวคลุ้งจะจางคลายสงบลง เราจักสาธิตให้เห็นว่าแท้ที่จริงนั้นเราสามารถที่จะเป็นน้ำนมแห่งความเมตตาของมนุษย์ได้ทีเดียว ถึงอย่างไรชาวทมิฬศรีลังกาก็เป็นส่วนหนึ่งแห่งความสำนึกทางประวัติศาสตร์ของเราอยู่แล้ว
แต่เราก็ต้องมองโลกแห่งความเป็นจริงด้วย เราทราบอยู่ในใจแห่งใจของเราแล้วว่า โอกาสสำหรับการแก้ไขด้วยวิถีทางการเมืองในลักษณะที่พวกผู้นำของเราดูเหมือนจะเสนอแนะเอาไว้เมื่ออยู่ในที่สาธารณะนั้น มันเท่ากับศูนย์ในทางเป็นจริง
ชาวสิงหลจักไม่มีทางยินยอมให้โลกบงการพวกเขาเข้าสู่การแก้ปัญหาโดยทางการเมือง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจะบอกปัดอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด ต่อความพยายามใดๆ ของเราที่จะหาทางมีบทบาทในสิ่งที่นับจากนี้พวกเขาจะยิ่งยืนยันเรื่อยไปว่า เป็นกิจการภายในของพวกเขาอย่างเคร่งครัด
ต้องจดจำเอาไว้เสมอว่าศรีลังกานั้นเป็นหนึ่งในที่มั่นแห่งท้ายๆ ของพุทธศาสนาแบบเถรวาท และสำหรับประชาชนชาวสิงหลแล้ว การรักษามรดกนี้เอาไว้ให้ได้คือภารกิจแห่งโชคลิขิตอันเลอค่ายิ่ง อย่างน้อยที่สุด นั่นคือสิ่งที่พวกเขารู้สึก เราต้องยอมรับถึงน้ำหนักแห่งลัทธิชาตินิยมทางวัฒนธรรมของพวกเขา
พวกเขามองว่าศรีลังกาเป็นดินแดนของชาวสิงหล พวกเขาจะยินยอมได้อย่างไรที่จะให้พวกเราชาวอินเดียผู้ลบล้างพุทธศาสนาออกจากอนุทวีปนี้ด้วยความโหดร้ายป่าเถื่อนถึงขนาดนั้น มาแทรกแซงในเรื่องความตระหนักสำนึกทางโชคลิขิตอันเต็มเปี่ยมของพวกเขา ผู้ซึ่งอยู่ในฐานะของผู้พิทักษ์ปกป้องศาสนาอันยิ่งใหญ่ศาสนาเดียวกันนั้นแหละ ไม่มีทางหรอก ไม่มีทางเลย
หากเราพยายามบีบคั้นชาวสิงหล พวกเขาก็จะไปติดต่อเข้าใกล้ชิดจีนและปากีสถานเพื่อถ่วงดุลแรงกดดันของเรา พวกเขามีความสามารถที่จะกระทำเรื่องแบบนี้
ชาวสิงหลเป็นคนที่มีพรสวรรค์ เราต่างทราบดีว่าแทบไม่มีใครเลยที่อาจทัดเทียมทักษะอันน่าตื่นใจของพวกเขาในเรื่องการบริหารจัดการสื่อ พวกเขาใช้ชีวิตด้วยความมีไหวพริบอยู่ตลอดเวลา
ทักษะที่พวกเขาทำได้ดีพอๆ กัน ก็คือ พวกเขาเป็นผู้ที่สามารถใช้การทูตได้อย่างน่ามหัศจรรย์ เราสงสัยว่าแท้จริงแล้วพวกเขาน่าจะล้ำหน้าเราในเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ในเมื่อพวกเขาไม่ได้เหมือนเราเลยที่กำลังวางท่าแกล้งทำไปวันหนึ่งๆ ราวกับว่าเรานั้นเป็นมหาอำนาจระดับภูมิภาคผู้มีความรับผิดชอบ และพล่าผลาญพลังงานของเราด้วยสิ่งบันเทิงอย่างเช่นการไล่ล่าโจรสลัดโซมาเลียในเขตทะลไกลโพ้น แต่พวกเขาเป็นคนที่มีสมาธิมุ่งตรงไปที่เรื่องซึ่งควรสนใจ
พวกเขามีความทรหดเนื่องจากพวกเขากำลังต่อสู้เพื่อพิทักษ์รักษาอัตลักษณ์แห่งประเทศของพวกเขาในอนาคต ให้ศรีลังกายืนยงคงความเป็นประเทศชาวพุทธต่อไป
เพียงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี้เอง พวกเขาแสดงให้เห็นทักษะทางการทูตของพวกเขา ด้วยการทำให้รัสเซียและจีนออกมาสยบความเคลื่อนไหวมุ่งบีบคั้นพวกเขาในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
พวกยุโรปนั้นเพ้อฝันว่าพวกเขาสามารถเอาชาวสิงหลมาพิจารณาคดีในข้อหาอาชญากรรมสงคราม ช่างไร้เดียงสาอะไรขนาดนี้!
เราเคยถามชาวสิงหลอย่างเป็นการภายในหลายต่อหลายครั้ง ว่าพวกเขาเตรียมจะเดินไปอย่างไรในช่วงเวลาต่อนี้ไป แต่พวกเขาก็ไม่เคยเปิดเผย
แต่เราทราบดีเช่นกันว่า นั่นไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขาไม่มีหนทางออกของพวกเขาเองในเรื่องเกี่ยวกับปัญหาชาวทมิฬ เราทราบดีว่าพวกเขามีพิมพ์เขียวอยู่แล้วด้วยซ้ำ
ดูสิ พวกเขาได้แก้ไขปัญหาชาวทมิฬในบรรดาจังหวัดทางภาคตะวันออกของประเทศ อันได้แก่ ตรินโคมาลี, บัตติคาเลา, และ อัมปารา ไปเรียบร้อยแล้ว ชาวทมิฬไม่ได้เป็นชุมชนส่วนข้างมากในจังหวัดเหล่านี้อีกแล้ว
ในทำนองเดียวกัน ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ พวกเขาจะเริ่มต้นโครงการที่ดำเนินการกันอย่างประสานงานกันและเต็มไปด้วยความแน่วแน่ เพื่อแปรให้พวกจังหวัดทางภาคเหนือซึ่งประภาการันครองอำนาจสูงสุดอยู่ 2 ทศวรรษ กลายสภาพเป็นอาณานิคม พวกเขาจะทำให้เป็นที่มั่นใจได้มากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ภูมิภาคทางตอนเหนือนี้ จะไม่อยู่ในลักษณะเป็นจังหวัดของชาวทมิฬอีกต่อไป
ชาวทมิฬจะถูกทำให้กลายเป็นชุมชนคนกลุ่มน้อยในดินแดนมาตุภูมิภาคเหนือของพวกเขาเอง พวกเขาจะต้องพำนักอาศัยท่ามกลางนิคมชาวสิงหลที่จัดตั้งกันขึ้นมาใหม่ในดินแดนเหล่านี้ไปจนถึงบริเวณเหนือขึ้นไปจาก “ช่องช้าง” (Elephant Pass)
ทั้งหมดเหล่านี้จะอยู่ภายใน “โครงสร้างสหพันธรัฐ” ของศรีลังกา ทั้งนี้ศรีลังกาจะยังคงยึดมั่นอยู่กับระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา
ให้เวลาพวกเขาอย่างมากที่สุดสักทศวรรษหนึ่ง ปัญหาชาวทมิฬจะกลายเป็นโบราณวัตถุชิ้นหนึ่งของประวัติศาสตร์อันนองเลือดแห่งอนุทวีปอินเดียไปเลย
ชาวสิงหลเป็นเพื่อนมิตรที่ดีของอินเดีย ชนชั้นนำของเราและชนชั้นนำของพวกเขาพูดจาด้วยสำนวนเดียวกัน เราต่างพูดภาษาอังกฤษได้ดี, เล่นกอล์ฟ, และชอบเบียร์เย็นๆ ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรอวยพรให้พวกเขา
สำหรับเลือดที่เปื้อนอยู่บนมือของเรานั้น มันเป็นความจริง มันเป็นสิ่งระคายเคืองที่มาจากการสาปแช่ง แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเราที่มือของเราต้องเปื้อนเปรอะไปด้วยเลือด
จงไว้วางใจคำของเรา มันไม่ก่อให้เกิดความเสียหายถาวระอะไรหรอก เลือดนั้นไม่ทิ้งรอยคราบไคลเอาไว้
เอกอัครราชทูต เอ็ม เค ภัทรกุมาร เคยรับราชการเป็นนักการทูตอาชีพในกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย เขาเคยได้รับมอบหมายให้ไปประจำอยู่ในหลายๆ ประเทศ อาทิ สหภาพโซเวียต, เกาหลีใต้, ศรีลังกา, เยอรมนี, อัฟกานิสถาน, ปากีสถาน, อุซเบกิสถาน, คูเวต, และตุรกี