เอเอฟพี/ASTVผู้จัดการรายวัน - บิ๊กบอสไอเอ็มเอฟแสดงความมั่นใจเมื่อวันศุกร์(15)ว่า เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวในครี่งแรกของปีหน้า ทว่าตัวเลขทางการที่ประกาศออกมาในวันเดียวกันกลับแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจยุโรป ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใหญ่โตของเศรษฐกิจโลก อยู่ในสภาพหดตัวลงมากเป็นสถิติใหม่ทีเดียวในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ และกำลังตกอยู่ในภาวะถดถอยหนักหน่วงกว่าสหรัฐฯเสียอีก
กรรมการผู้จัดการกองทุนระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) โดมินิก สเตราส์-คาห์น กล่าวในการแถลงข่าววานนี้ ที่กรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย ว่า "เรายังจะได้เห็นการฟื้นตัว (ของเศรษฐกิจโลก) ในครี่งแรกของปี 2010 และการเริ่มต้นของจุดพลิกผันนี้ในเดือนตุลาคม, พฤศจิกายน, และธันวาคม" ของปีนี้
กระนั้น สเตราส์-คาห์น ยืนยันว่าความเสี่ยง "ยังคงมีอยู่ในระดับที่สูงมาก" และการกระเตื้องขึ้นของเศรษฐกิจโลกจะเกิดขึ้นได้ ก็จะต้องขึ้นอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น "ในภาคการธนาคาร" ทั้งนี้เขาย้ำว่า สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ "จะไม่มีการกระเตื้องขึ้นมาได้เลย ตราบเท่าที่งบดุลของพวกธนาคารทั้งหลายยังคงไม่ได้รับการแก้ไข"
อย่างไรก็ตาม ยูโรสแตท ที่เป็นหน่วยงานของคณะกรรมาธิการยุโรป ได้เปิดเผยวานนี้เช่นกันว่า เศรษฐกิจประจำไตรมาสแรกปีนี้ของ 16 ชาติที่ใช้เงินสกุลยูโร (ยูโรโซน) อยู่ในสภาพติดลบย่ำแย่เป็นสถิติใหม่ถึง 2.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และจะหดตัว 4.6% ทีเดียวหากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งก็เป็นตัวเลขย่ำแย่ที่สุดตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นมา สำหรับเศรษฐกิจช่วงระยะเดียวกันของ 27 ชาติสมาชิกสหภาพยุโรปทั้งหมดนั้น ติดลบ 4.4% ถ้าเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ถึงแม้ในช่วงแรกๆ ภาวะเศรษฐกิจทรุดต่ำดูจะเล่นงานทั้งยุโรปและสหรัฐฯหนักหน่วงใกล้เคียงกัน แต่เมื่อมาถึงเวลานี้ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่ายุโรปเจอแรงกว่าสหรัฐฯมาก โดยในไตรมาสแรกปีนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯหดตัว 1.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และลบ 2.6% หากเปรียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว
ยุโรปนั้นตั้งแต่ปีที่แล้วได้ถลำจมลงสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งร้ายแรงที่สุดนับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องจากการค้าระหว่างประเทศทรุดฮวบ และผู้บริโภคที่รู้สึกวิตกมากขึ้นทุกทีจึงต่างพากันใช้จ่ายเฉพาะสิ่งที่จำเป็น
ถึงแม้มีสัญญาณหลายประการว่าการทรุดดิ่งอาจจะค่อยๆ ชะลอลงแล้วตั้งแต่ไตรมาสแรกปีนี้ แต่ภาวะเศรษฐกิจซวนเซก็ยังกำลังสร้างความเจ็บปวดสาหัสให้แก่ตลาดแรงงาน โดยที่มีรายงานการปลดพนักงานออกมาแทบทุกวัน
เมื่อวันพฤหัสบดี(14) บริติช เทเลคอม ผู้ประกอบการด้านการสื่อสารของอังกฤษ ได้ประกาศจะลดตำแหน่งงานลงอีก 15,000 คน หรือราว 10% ของพนักงานทั้งหมดของบริษัท ภายหลังประสบการขาดทุนสุทธิ 83 ล้านปอนด์ในปีการเงิน 2008-2009
ขนาดการทรุดตัวของยุโรโซนในไตรมาสแรกปีนี้ ทำให้พวกนักเศรษฐศาสตร์ประหลาดใจ เพราะเกินเลยกว่าการพยากรณ์ของพวกเขาที่มองว่า น่าจะหดตัวเพียง 2.2% เมื่อเทียบกับไครมาสก่อนหน้า และ ลบ 4.1% หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนั้น มันยังเป็นหลักหมายแสดงถึงการดำดิ่งไปในทางเลวร้ายตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นปีนี้ หลังจากที่เศรษฐกิจยูโรโซนเมื่อไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้ว อยู่ในสภาพหดตัว 1.6% ถ้าเปรียบกับไตรมาสก่อนหน้า และ 4.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
หากพิจารณาเป็นรายประเทศ เยอรมนีซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของยุโรป แต่ต้องพึ่งพาการส่งออกอย่างมากนั้น ปรากฏว่าไตรมาสแรกปีนี้ติดลบถึง 3.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และ หดตัว 6.9% หากเปรียบกับระยะเดียวกันของปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม อิตาลีก็ย่ำแย่ตามมาไม่ห่าง โดยเศรษฐกิจไตรมาสแรกติดลบ 2.4% และ 5.9% ตามลำดับ ขณะที่ฝรั่งเศสก็ประกาศถลำจมลงสู่ภาวะถดถอยอย่างเป็นทางการแล้ว โดยที่เศรษฐกิจติดลบ 1.2% และ 3.2% ตามลำดับ
กรรมการผู้จัดการกองทุนระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) โดมินิก สเตราส์-คาห์น กล่าวในการแถลงข่าววานนี้ ที่กรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย ว่า "เรายังจะได้เห็นการฟื้นตัว (ของเศรษฐกิจโลก) ในครี่งแรกของปี 2010 และการเริ่มต้นของจุดพลิกผันนี้ในเดือนตุลาคม, พฤศจิกายน, และธันวาคม" ของปีนี้
กระนั้น สเตราส์-คาห์น ยืนยันว่าความเสี่ยง "ยังคงมีอยู่ในระดับที่สูงมาก" และการกระเตื้องขึ้นของเศรษฐกิจโลกจะเกิดขึ้นได้ ก็จะต้องขึ้นอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น "ในภาคการธนาคาร" ทั้งนี้เขาย้ำว่า สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ "จะไม่มีการกระเตื้องขึ้นมาได้เลย ตราบเท่าที่งบดุลของพวกธนาคารทั้งหลายยังคงไม่ได้รับการแก้ไข"
อย่างไรก็ตาม ยูโรสแตท ที่เป็นหน่วยงานของคณะกรรมาธิการยุโรป ได้เปิดเผยวานนี้เช่นกันว่า เศรษฐกิจประจำไตรมาสแรกปีนี้ของ 16 ชาติที่ใช้เงินสกุลยูโร (ยูโรโซน) อยู่ในสภาพติดลบย่ำแย่เป็นสถิติใหม่ถึง 2.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และจะหดตัว 4.6% ทีเดียวหากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งก็เป็นตัวเลขย่ำแย่ที่สุดตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นมา สำหรับเศรษฐกิจช่วงระยะเดียวกันของ 27 ชาติสมาชิกสหภาพยุโรปทั้งหมดนั้น ติดลบ 4.4% ถ้าเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ถึงแม้ในช่วงแรกๆ ภาวะเศรษฐกิจทรุดต่ำดูจะเล่นงานทั้งยุโรปและสหรัฐฯหนักหน่วงใกล้เคียงกัน แต่เมื่อมาถึงเวลานี้ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่ายุโรปเจอแรงกว่าสหรัฐฯมาก โดยในไตรมาสแรกปีนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯหดตัว 1.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และลบ 2.6% หากเปรียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว
ยุโรปนั้นตั้งแต่ปีที่แล้วได้ถลำจมลงสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งร้ายแรงที่สุดนับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องจากการค้าระหว่างประเทศทรุดฮวบ และผู้บริโภคที่รู้สึกวิตกมากขึ้นทุกทีจึงต่างพากันใช้จ่ายเฉพาะสิ่งที่จำเป็น
ถึงแม้มีสัญญาณหลายประการว่าการทรุดดิ่งอาจจะค่อยๆ ชะลอลงแล้วตั้งแต่ไตรมาสแรกปีนี้ แต่ภาวะเศรษฐกิจซวนเซก็ยังกำลังสร้างความเจ็บปวดสาหัสให้แก่ตลาดแรงงาน โดยที่มีรายงานการปลดพนักงานออกมาแทบทุกวัน
เมื่อวันพฤหัสบดี(14) บริติช เทเลคอม ผู้ประกอบการด้านการสื่อสารของอังกฤษ ได้ประกาศจะลดตำแหน่งงานลงอีก 15,000 คน หรือราว 10% ของพนักงานทั้งหมดของบริษัท ภายหลังประสบการขาดทุนสุทธิ 83 ล้านปอนด์ในปีการเงิน 2008-2009
ขนาดการทรุดตัวของยุโรโซนในไตรมาสแรกปีนี้ ทำให้พวกนักเศรษฐศาสตร์ประหลาดใจ เพราะเกินเลยกว่าการพยากรณ์ของพวกเขาที่มองว่า น่าจะหดตัวเพียง 2.2% เมื่อเทียบกับไครมาสก่อนหน้า และ ลบ 4.1% หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนั้น มันยังเป็นหลักหมายแสดงถึงการดำดิ่งไปในทางเลวร้ายตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นปีนี้ หลังจากที่เศรษฐกิจยูโรโซนเมื่อไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้ว อยู่ในสภาพหดตัว 1.6% ถ้าเปรียบกับไตรมาสก่อนหน้า และ 4.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
หากพิจารณาเป็นรายประเทศ เยอรมนีซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของยุโรป แต่ต้องพึ่งพาการส่งออกอย่างมากนั้น ปรากฏว่าไตรมาสแรกปีนี้ติดลบถึง 3.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และ หดตัว 6.9% หากเปรียบกับระยะเดียวกันของปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม อิตาลีก็ย่ำแย่ตามมาไม่ห่าง โดยเศรษฐกิจไตรมาสแรกติดลบ 2.4% และ 5.9% ตามลำดับ ขณะที่ฝรั่งเศสก็ประกาศถลำจมลงสู่ภาวะถดถอยอย่างเป็นทางการแล้ว โดยที่เศรษฐกิจติดลบ 1.2% และ 3.2% ตามลำดับ
