เอเจนซี - สภาพเศรษฐกิจได้กระตุ้นให้ชาวญี่ปุ่นที่ยังเยาว์วัยฆ่าตัวตายมากขึ้น โดยคนในช่วงวัย 30 ปีทำลายสถิติการฆ่าตัวตายมากขึ้น รายงานของตำรวจเผยวันนี้(14)
ยอดผู้ฆ่าตัวตายทั้งหมดลดลง 2.6 เปอร์เซ็นต์ เป็น 32,249 ราย แต่ก็ยังจำนวนที่เกิน 30,000 รายมาเป็นปีที่ 11 แล้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่นเผย โดยคนที่อยู่ในช่วงอายุ 50 ปีมีแนวโน้มว่าจะตกเป็นเหยื่อของตัวเองมากที่สุด โดยมีจำนวนราว 20 เปอร์เซ็นต์จากคนที่ฆ่าตัวตายทั้งหมด
ทว่า การฆ่าตัวตายในหมู่คนช่วงอายุ 30 ปีได้เพิ่มขึ้นมากนับตั้งแต่ปี 1991 ซึ่งผู้เชี่ยวชาญโทษว่าเป็นเพราะความไว้วางใจมากขึ้นต่อระบบแรงงานชั่วคราวของบรรดาอุตสาหกรรมในญี่ปุ่น ซึ่งส่วนมากจะอยู่นอกเหนือระบบประกันสังคมของรัฐ
ศาสตราจารย์มาซาชิโร ยามาดะ แห่งมหาวิทยาลัยชูโอะ เผยว่า เหตุผลที่คนวัย 50 ปีฆ่าตัวตาย คือ ความต้องการทิ้งค่าประกันชีวิตให้ครอบครัวของพวกเขา แต่สำหรับคนในช่วง 30 ปีมันยากที่จะมองเห็นอนาคต และการเลย์ออฟก็เป็นเหตุผลหลัก ทั้งนี้ คนงานชั่วคราวนับแสนกลายเป็นส่วนเกินในขณะที่ญี่ปุ่นเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
รายงานของตำรวจแสดงให้เห็นว่า มี 4,850 คน อายุระหว่าง 30-39 ปี ฆ่าตัวตายในปี 2008 เพิ่มขึ้นเป็น 1.7 เปอร์เซ็นต์เทียบกับปี 2007 และเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากสถิติในปี 1991
ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศพัฒนาแล้วที่มีอัตราฆ่าตัวตายมากที่สุด โดยมีอัตรฆ่าตัวตายเฉลี่ยย 24 คนในทุกๆ 100,000 คน ขณะที่ในสหรัฐมี 11.1 คน
แม้ว่า อาการซึมเศร้าจะเป็นสาเหตุหลัก แต่เชื่อว่า คนอายุ 30-39 ปีที่ฆ่าตัวตายเพราะว่า หางานทำไม่ได้ ว่างงาน หรือหาเลี้ยงชีพได้อย่างยากลำบาก ขณะที่การฆ่าตัวตายในหมู่วัยรุ่นช่วงวัย 20 ปี ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยมากกว่าครึ่งเป็นคนว่างงาน และอีก 28 เปอร์เซ็นต์เป็นแรงงานชั่วคราว
