ไฟแนนเชียลไทมส์/เอเอฟพี/เอเยนซีส์ - “นช.แม้ว” ไร้เงาหัว สำแดงธาตุแท้จ้องทำลายสถาบันสูงสุดอย่างโจ่งแจ้ง บังอาจกล่าวอ้างถึง “ในหลวง” ว่าทรงทราบเรื่องการทำรัฐประหารโค่นล้มเขาก่อนเกิดเหตุยึดอำนาจ เติมเชื้อไฟใส่ความ พล.อ.เปรม นำคณะองคมนตรีและนายพลชั้นนำเข้าเฝ้าฯ ถวายรายงานถึงแผนการก่อนลงมือ เล่นลิ้นป้ายขี้ “พัลลภ” คาบข่าวมาบอก ขณะที่นายพลทหารแก่ปัดเรื่องโกหกคำโตของทักษิณ
รายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ ซึ่งเขียนโดย โรบิน วิกเกิลสเวิร์ธ ในดูไบ และเซเรนา ทาร์ลิง ในลอนดอน ระบุถึงการให้สัมภาษณ์ของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กล่าวพาดพิงถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนของพสกนิกรทั่วประเทศว่า พระองค์ทรงทราบเรื่องการทำรัฐประหารของฝ่ายทหารเพื่อโค่นล้มเขาในปี 2549 ตั้งแต่ก่อนเกิดการลงมือยึดอำนาจขับไสตัวเขาออกจากตำแหน่งแล้ว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนชาวไทยประหนึ่งสมมติเทพ อีกทั้งถือกันว่าทรงอยู่เหนือการเมือง และระหว่างที่ประเทศเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายทางการเมือง ในสายตาของสาธารณชนก็เห็นว่าทรงวางพระองค์อยู่ห่างไม่ทรงเกี่ยวข้องด้วย
ทว่า ในการให้สัมภาษณ์กับไฟแนนเชียลไทมส์ ทักษิณผู้ซึ่งถูกพิจารณาถอดยศ ถูกถอนพาสปอร์ตทุกประเภทของราชอาณาจักรไทย และตกเป็นนักโทษหนีคดีอาญาในเวลานี้ กลับอ้างว่า ตั้งแต่ก่อนหน้าการรัฐประหารปี 2549 จะเกิดขึ้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับการบรรยายสรุปจากพวกนายพลชั้นนำและองคมนตรีหลายคน ในเรื่องแผนการของพวกเขาที่จะโค่นล้มอดีตนายกรัฐมนตรีผู้ก่อให้เกิดการแตกแยกแบ่งขั้วผู้นี้
บรรดาเจ้าหน้าที่ของไทยต่างปฏิเสธข้ออ้างของทักษิณที่ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทราบเรื่องเกี่ยวกับการรัฐประหารตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดขึ้น “นี่เป็นการกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริงโดยสิ้นเชิง มันเป็นการโกหกชัดๆ” โฆษกผู้หนึ่งของสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอน กล่าวกับไฟแนนเชียลไทมส์
สำนักพระราชวังของไทยไม่เคยแถลงแสดงความเห็นในเรื่องข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่บุคคลอาวุโสชาวไทยผู้หนึ่งที่ใกล้ชิดกับสถานการณ์ ได้พูดถึงข้อกล่าวหานี้ว่า “ไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิง”
ขณะที่ นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ก็กล่าวกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า “เป็นไปไม่ได้ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงทราบเรื่องการรัฐประหารตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดขึ้น เราได้ตรวจสอบกับแหล่งข่าวจำนวนมาก และทราบว่าพระองค์มิได้ทรงทราบเลยจวบจนกระทั่งการรัฐประหารเกิดขึ้นแล้ว”
ตามคำกล่าวของทักษิณ การรัฐประหารคราวนั้นได้ถูกนำเสนอให้เห็นว่าเป็นการกระทำเพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยที่คณะองคมนตรีหลายคนก็กำลังกล่าวหาว่า ทักษิณ ไม่มีความจงรักภักดี ทักษิณบอกว่า เขาได้รับการบอกเล่าเรื่องนี้ในเวลาต่อมาจาก พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี แต่อย่างไรก็ตาม พล.อ.พัลลภ ได้เคยยืนยันว่าเขาได้พบกับทักษิณจริง ทว่าปฏิเสธว่าไม่ได้มีการหารือเรื่องการเมืองแต่อย่างใด
ทักษิณยังอ้างว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตผู้บัญชาการทหารบก และอดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2546 อีกทั้งจะเข้าดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราวภายหลังการรัฐประหารคราวนั้น ก็อยู่ในที่เข้าเฝ้าตอนที่มีการพูดถึงแผนทำรัฐประหารด้วย
“พล.อ.สุรยุทธ์, พล.อ.เปรม (ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี) และองคมนตรีอีกคนหนึ่ง ได้ไปเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทูลต่อพระเจ้าอยู่หัวว่า พวกเขาจะกระทำการเพื่อพระองค์ ด้วยการเล่นงานผมเพราะผมนั้นไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว” ทักษิณ กล่าว “นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการทั้งหมด”
เมื่อเขาพยายามที่จะปราบปรามการประท้วงต่อต้านรัฐบาลภายหลังการเข้าเฝ้าคราวนั้น ทักษิณ บอกว่า “ผมก็ไม่สามารถที่จะบังคับใช้กฎหมายได้ เพราะไม่มีใคร (ในกองทัพจะ)ให้ความร่วมมือ เนื่องจากมีใครบางคนคอยผลักดันอยู่เบื้องหลังทหาร”
ไฟแนนเชียลไทมส์ให้ภูมิหลังของทักษิณไว้ว่า อดีตอภิมหาเศรษฐีด้านสื่อสารผู้นี้ เป็นนักการเมืองเพียงคนเดียวที่เคยชนะได้คะแนนเสียงข้างมากในการเลือกตั้งของไทย แต่เขาถูกโค่นจากตำแหน่งในปี 2549 ภายหลังเกิดการประท้วงของพวกเสื้อเหลืองที่สนับสนุนฝ่ายค้านอยู่หลายสัปดาห์
หลังจากนั้นฝ่ายทหารได้ส่งมอบอำนาจให้แก่รัฐบาลพลเรือน ทว่ามีอดีตนายพลหลายคนซึ่งถวายงานเป็นที่ปรึกษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และประเทศไทย ก็ยังคงต้องย่ำแย่ด้วยการปะทะขัดแย้งกันทางการเมืองระหว่างฝ่ายเสื้อแดงกับฝ่ายเสื้อเหลือง
สำหรับ ทักษิณ เวลานี้ ไฟแนนเชียลไทมส์บอกว่า ใช้ชีวิตแบบลี้ภัยตามที่เขาเลือกเอง เพื่อหลบหนีข้อกล่าวหาคอร์รัปปชั่นที่ตามเล่นงานเขาอยู่
“จักรภพ” หวังใช้สื่อนอกเพื่อปลุกปั่นต่อ
สำนักข่าวเอเอฟพี และสำนักข่าวบลูมเบิร์กเมื่อวานนี้ ต่างเสนอข่าวการให้สัมภาษณ์ของนายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำคนหนึ่งของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งถูกออกหมายจับในความผิดฐานยุยงให้เกิดความไม่สงบในบ้านเมืองด้วย โดยบลูกเบิร์กกล่าวว่า นายจักรภพให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์จาก “สถานที่ซึ่งไม่เปิดเผย” ขณะที่เอเอฟพีกล่าวว่า “จากสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งไม่ทราบว่าที่ไหนในต่างประเทศที่เขากำลังหลบซ่อนอยู่”
นายจักรภพบอกกับเอเอฟพีว่า เขาต้องหลบหนีออกนอกประเทศ เพื่อไม่ให้ถูกจับกุมตัวตามหมายจับ
“เราพาตัวเรามาอยู่ในสถานที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง และเรากำลังจัดตั้งสำนักงานขึ้นมา เพื่อใช้ในการดำเนินงานของขบวนการต่อไป” นายจักรภพกล่าว และบอกต่อไปว่า “เราได้จัดทำยุทธศาสตร์บางประการออกมา ดังนั้นเราจึงต้องใช้เวลาเพื่อที่จะวิเคราะห์สถานการณ์”
ในการพูดกับบลูมเบิร์กนั้น นายจักรภพใช้ท่าทีแข็งกร้าวยิ่งกว่า โดยกล่าวว่าพวกเขาวางแผนที่จะ “ปฏิบัติการในเร็วๆ นี้” ถ้าหากนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังไม่ยอมเสนอมาตรการรูปธรรมเพื่อการปรองดอง
“ตอนนี้ประชาชนกำลังหงุดหงิดและพร้อมแล้วที่จะต่อสู้ต่อไป” และ “เราสามารถคาดหมายได้ว่าจะมีการปฏิบัติการอีกมากมาย มันยังไม่จบลงจริงๆ หรอก”
นายจักรภพคุยว่า กำลังวางแผนจะนำการเคลื่อนไหวต่อสู้แบบปิดลับ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของพวกตน
“เราวางแผนที่จะอยู่ใต้ดินไปตราบเท่าที่มีความจำเป็น” นายจักรภพบอก “การต่อสู้ในประเทศไทยนั้นได้เลยพ้นจุดที่จะยอมแพ้แล้ว มันอยู่ในจุดที่ทั้งสองข้างต่างจะมีการเข้าร่วมอย่างกว้างขวางมหาศาล และเมื่อมีพลวัตทางการเมืองประเภทนี้ขึ้นมา ก็ไม่มีใครหรอกที่สามารถพูดได้จริงๆ ว่า ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น”