เอเจนซี - พวกทหารตรงรี่เข้ามาที่ตัวผม และตะโกนเสียงดัง ตอนที่ผมวิ่งหลบก้อนหินที่ถูกปามา ตลอดจนกองไฟลุกไหม้บนถนนที่ถูกจุดขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เมืองหลวงของประเทศไทยที่ระบบทุนเคลื่อนไหวได้อย่างเสรี ได้กลับกลายเข้าสู่ภาวะอนาธิปไตยแล้ว
“นักข่าว” ผมตะโกนเป็นภาษาไทย แล้วหยิบบัตรประจำตัวของผมออกมาโบกในขณะที่มีเสียงปืนรัวไปทั่ว ทหารต้องการกดดันให้พวกประท้วงที่หัวรั้นหลายร้อยคน ล่าถอยหนีไปจากจุดที่พวกเขากีดขวางบริเวณทางแยกใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯในวันจันทร์ (13)
“พวกเขาก็ยิงเราเหมือนกัน” ทหารนายหนึ่งบอก เขายังหนุ่มแน่น สีหน้าแววตาทั้งกลัวทั้งโกรธ ทหารหน่วยนี้ติดอาวุธเต็มที่และมีจำนวนมากทีเดียว แต่ดูเหมือนพวกทหารมีอาการเครียด และไม่มีการจัดระเบียบสักเท่าไร
ที่อยู่ห่างออกไป คือ กลุ่ม “เสื้อแดง” ที่สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีลักษณะเหมือนอันธพาลวายร้าย มีอาวุธจำพวกไม้, หนังสติ๊ก, แท่งโลหะ และคอยขว้างก้อนหินจากตรอกซอยต่างๆ แถวนั้น
“พวกมันจะฆ่าเรา” ผู้ประท้วงท่าทางดุดันคนหนึ่งบอกผม เขาผูกแถบผ้าสีแดงบนศีรษะ และถือไม้อยู่ในมือ “แต่เราไม่ยอมแพ้หรอก เราต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย”
ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะวุ่นวายทางการเมืองนับตั้งแต่มีการรัฐประหารในปี 2006 และกดดันให้เจ้าพ่อธุรกิจโทรคมนาคมอย่างทักษิณต้องหลบหนีออกนอกประเทศ โดยที่เขาได้รับความนิยมชมชอบอย่างสูงจากคนชนบทและสามารถเอาชนะการเลือกตั้งทั่วไปสองครั้ง
แต่หลังจากที่พวกผู้ประท้วง “เสื้อเหลือง” ชุมนุมยืดเยื้อและสามารถขับไล่รัฐบาลพรรคพลังประชาชนได้สำเร็จ โดยมีการปิดสนามบินในกรุงเทพฯ แล้ว ตอนนี้รัฐบาลของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้เพียง 4 เดือน กลุ่มคน “เสื้อแดง” ก็ออกมาประท้วง และกล่าวหาว่ารัฐบาลขาดความชอบธรรมและเป็นพวกเดียวกับทหาร
“ผมเสียใจที่เหตุการณ์ลุกลามขนาดนี้ แต่พวกเรากำลังทำเพื่อประชาธิปไตย” ประหยัด พูลบุญ ผู้ประท้วงคนหนึ่งบอก “เราจะสู้จนตาย”
เมื่อฝ่ายทหารลังเลไม่ใช้กำลังเข้าปราบปราม ผู้ประท้วงจึงจัดกำลังนับร้อยไปยึดรถเมล์และเคลื่อนย้ายเข้ามาขวางอยู่ห่างจากแนวทหาร 50 เมตร พร้อมกับที่มีข่าวแพร่สะพัดว่าพวกเขาได้ยึดรถบรรทุกน้ำมันไว้ด้วยคันหนึ่ง
**“อย่ายิง”**
“อย่ายิง อย่ายิง” ผู้บังคับบัญชาการทหารคนหนึ่งตะโกน หลังจากทหารคนหนึ่งประทับปืนระดับอกยิงเตือนใส่ผู้ประท้วงคนหนึ่ง เห็นชัดว่าพวกทหารซึ่งถูกฝึกมาอย่างดีสำหรับภารกิจเชิงมนุษยธรรม ไม่ได้เป็นผู้ควบคุมอยู่ในตอนนี้
พระภิกษุจำนวนหนึ่งเข้ามาห้ามปรามโดยขอให้ “เห็นแก่ประเทศชาติ” ในขณะที่ประชาชนส่วนหนึ่งยื่นดอกไม้ให้กำลังใจกับพวกทหารที่ยังถือปืน เอ็ม16 อยู่
แต่แล้วรถเมล์คันหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากแนวของทหาร 20 เมตร ก็เกิดไฟลุกขึ้น ทหารรัวปืนอีกรอบ โดยยิงขึ้นฟ้า หรือไม่ก็เล็งที่พื้น มีทหารบางคนโยนระเบิดเพลิงกลับไปยังกลุ่มผู้ประท้วง “เสื้อแดง” ด้วย
รถเมล์ที่ไร้คนขับคันหนึ่งแล่นเข้าใส่พวกทหารที่บริเวณสะพานลอย แต่ไปชนถูกราวสะพานเข้า ส่วนหน้าของรถเมล์ที่บุบบี้ไปนั้นยื่นออกมาอยู่เหนือศีรษะของผมดูอันตรายอย่างมาก
ส่วนถนนซึ่งเคยมีรถราขวักไขว่ และร้านอาหารซึ่งเคยมีผู้คนหนาแน่น ตอนนี้กลายเป็นฉากเหตุรุนแรงเหมือนกับประเทศในแอฟริกายังไงยังงั้นทีเดียว
“บ้าสิ้นดี” ช่างภาพคนหนึ่งบอก “นี่มันเกิดอะไรกันในบ้านเมืองนี้”
พวกทหารโห่ร้องดีใจกันยกใหญ่เมื่อพวกผู้ประท้วงหลบหนีไป แต่ก็มีพวกฮาร์ดคอร์กลุ่มหนึ่งวิ่งกลับมาป่วนทิ้งท้ายอีกรอบ พวกเขาปาก้อนหินมา จุดไฟเผารถเมล์อีกหลายคัน บางคนก็ขับรถเมล์พุ่งชนต้นไม้และเสาไฟฟ้า
ขณะเดียวกัน ในบริเวณใกล้ๆ กันกับที่พวกทหารกำลังยิงปืน เอ็ม16 และพวกผู้ประท้วงปาระเบิดเพลิงกันอยู่นั้น พวกเด็กๆ และผู้ใหญ่เมาเหล้าอีกกลุ่มหนึ่ง ก็ยังฉลองเทศกาลสงกรานต์กันอย่างสนุกสนานตื่นเต้น พวกเขาใช้ปืนฉีดน้ำยิงใส่กันและกัน บางคนก็สาดน้ำเป็นถังๆ เข้าใส่รถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่แล่นผ่านไปมา
ผมคิดว่านี่คงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ที่เมืองไทยเพียงแห่งเดียวในโลกเท่านั้น
ต่อมาผมเกิดสังหรณ์ว่า เหตุการณ์จะรุนแรงขึ้นเมื่อทหารหลายร้อยนายเคลื่อนกำลังเข้าสลายการชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ทหารยิงผู้ประท้วงเมื่อปี 1992 มีผู้เสียชีวิตไปหลายสิบคน
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ก็ผ่านไปโดยไม่มีเหตุรุนแรงดังกล่าว นอกจากกรณีที่กลุ่ม “เสื้อแดง” ปะทะกับชาวบ้านและเผารถเมล์เพิ่ม และเมื่อผู้นำประท้วงตัดสินใจยุติการชุมนุม กลุ่ม “เสื้อแดง” ที่อยู่ในบริเวณหน้าทำเนียบหลายพันคนก็โห่ร้องยินดี พวกเขายังจับมือกับพวกทหารซึ่งคอยส่งน้ำให้พร้อมกับอวยพรให้เดินทางกลับบ้านโดยปลอดภัยด้วย
ความสงบก็กลับคืนสู่กรุงเทพฯ อีกครั้ง แต่จะนานเพียงไรนั้นไม่มีใครรู้ได้
(รายงานชิ้นนี้เขียนโดย นักข่าวรอยเตอร์ มาร์ติน เพตตี้)