เอเอฟพี -แฮกเกอร์ชาวจีนและรัสเซีย กำลังพยายามหาทางส่งไวรัสเข้าไปฟักตัวในโครงข่ายระบบส่งไฟฟ้าของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้เกิดความปั่นป่วนโกลาหลตามเมืองใหญ่ต่างๆ ในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล รายงานไว้ในฉบับวันพุธ (8) อ้างแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐฯ นอกจากนั้นรายงานระบุด้วยว่า เมื่อปีที่แล้วพวกสายลับไซเบอร์สามารถเจาะเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นระบบของสถาบันการเงินไปจนถึงระบบกำจัดน้ำเสีย
"ทางจีนพยายามที่จะทำแผนที่โครงข่ายสาธารณูปโภคของเรา เช่น โครงข่ายระบบส่งไฟฟ้า" รายงานอ้างคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสด้านข่าวกรองผู้หนึ่งซึ่งไม่ต้องการเปิดเผยชื่อ และเขายังบอกว่า "พวกรัสเซียก็เหมือนกัน"
แม้ว่าขณะนี้จะยังไม่มีความเสียหายใดๆ เกิดขึ้น แต่เจ้าหน้าที่สืบสวนพบว่ามีการส่งไวรัสที่รอการฟักตัวในลักษณะเหมือนระเบิดเวลา เข้าไปในระบบแล้ว "หากเราทำสงครามกับพวกเขา ก็จะมีการเปิดใช้งานระบบดังกล่าว"
เอมี คุดวา โฆษกหญิงของกระทรวงมหาดไทยยอมรับว่า "การโจมตีทางคอมพิวเตอร์นั้นเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา" และบอกอีกว่าเจเน็ต นาโปลิตาโน รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย "ถือว่าเรื่องความมั่นคงในระบบคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องสำคัญมาก จึงได้สั่งการให้ทบทวนนโยบายเรื่องนี้ทั้งหมด" และกระทรวงก็ยังร่วมมือกับภาคเอกชนคอยเฝ้าระวังและหาทางลดการโจมตีทางคอมพิวเตอร์ลงด้วย
ทว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประธานาธิบดีที่นิยมใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุด ได้ให้คำมั่นว่าจะขยายการใช้อินเทอร์เน็ตในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น โดยจะจัดทำโครงการส่งเสริมต่างๆ ซึ่งรวมถึงการยกเครื่องโครงข่ายระบบส่งไฟฟ้าครั้งใหญ่ อันจะเอื้อให้การใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์สะดวกยิ่งขึ้น
นโยบายดังกล่าวจึงทำให้กองทัพสหรัฐฯ มีภารกิจในการป้องกันการจู่โจมผ่านระบบคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นไปด้วย และในวันอังคาร (7) กระทรวงกลาโหมก็เปิดเผยตัวเลขการใช้เงินงบประมาณกว่า 100 ล้านดอลลาร์ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาเพื่อซ่อมแซมความเสียหายจากการถูกโจมตีระบบคอมพิวเตอร์
"เรากำลังใช้เงินจำนวนมากเพื่อปรับปรุงระบบความมั่นคง แต่ระบบความมั่นคงในคอมพิวเตอร์นั้นเป็นเป้าที่เคลื่อนไหว และเคลื่อนอย่างไม่มีจุดหมายปลายทางด้วย" จอห์น บุมการ์เนอร์ จาก ไซเขอร์ คอนซีเควนซ์ ยูนิต ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาล ระบุ
ส่วนอีวาน โคห์ลมานน์ นักสืบจาก โกลบอล เทอร์เรอร์ อะเลิร์ต กล่าวว่าการจู่โจมทางระบบคอมพิวเตอร์นั้นสามารถที่จะทำให้ระบบส่งไฟฟ้าหยุดชะงักได้ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นโดยบังเอิญในนิวยอร์กเป็นช่วงสั้นๆ เมื่อปี 2003
ทั้งนี้เหตุบังเอิญดังกล่าวเกิดขึ้นจากการทำงานผิดพลาดของสายไฟฟ้า แต่ในกรณีของแฮกเกอร์นั้นจะสามารถเข้าไปควบคุมโครงข่ายระบบส่งไฟฟ้าซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายที่รุนแรงมากกว่า
"ตอนนั้นแค่ไฟดับเป็นเวลาสั้นๆ แต่ลองคิดดูสิว่าจะเลวร้ายขนาดไหนถ้ามันเกิดขึ้นอีก ถ้าหากคุณทำให้ระบบไฟฟ้ารวนได้ จะต้องเกิดความเสียหายหนักอย่างถาวรทีเดียว" โคห์ลมานน์กล่าว "อาจทำให้เศรษฐกิจพังเป็นวงกว้าง"
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ชี้ว่า แม้ว่าพวกผู้ก่อการร้ายก็คิดจะจู่โจมเป้าหมายเดียวกันนี้อยู่ แต่แฮกเกอร์ฝีมือดีจะเป็นพวกจีนและรัสเซียมากกว่า และรัฐบาลจีนกับรัสเซียก็ยังให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่กับพวกแฮกเกอร์รักชาติด้วย
แต่โคห์ลมานน์บอกว่า จีนกับรัสเซียนั้นแม้จะเป็นคู่แข่งของสหรัฐฯ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นหุ้นส่วนกันด้วย ดังนั้นจึงไม่ได้มุ่งที่จะก่อความเสียหายขนาดใหญ๋ อย่างน้อยก็ในช่วงขณะนี้ ขณะที่บุมการ์เนอร์บอกว่าการจู่โจมระบบโครงข่ายสายไฟฟ้าส่วนใหญ่ไม่ได้มุ่งก่อความเสียหาย แต่เป็นเรื่องการขโมยข้อมูลไปเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบของตนเองมากกว่า ทว่าเขาเชื่อว่าไซเบอร์สเปซได้กลายมาเป็นแนวหน้าในเรื่องความมั่นคงแห่งชาติอย่างเต็มรูปแล้ว ควบคู่ไปกับความมั่นคงทางอากาศ บนแผ่นดิน ในทะเล และอวกาศ