เอเอฟพี - วอลล์สตรีท ปิดตลาดในแดนบวกเป็นวันที่ 3 ติดต่อกันในวันพฤหัสบดี(12) โดยดีดขึ้นไปกว่า 200 จุด จากข่าวดีทางเศรษฐกินอันหลากหลายและยอดขายปลีกสหรัฐฯดีขึ้นมากกว่าที่คาดไว้ ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวยังส่งผลไปถึงตลาดน้ำมันที่ขานรับปรับตัวขึ้นกว่า 4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 239.66 จุด (3.46 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 7,170.06 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 29.38 จุด (4.07 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 750.74 จุด ขณะที่ แนสแดค ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 54.46 จุด (7.07 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,426.10 จุด
ตลาดได้แรงหนุนจากคำพูดที่มีความหวังของผู้บริหารบริษัท เจเนอรัล อิเลคทริค เจเนรัลด์ มอเตอร์ส และแบงก์ออฟอเมริกา รวมถึงยอดขายปลีกสหรัฐฯดีขึ้นมากกว่าที่คาดไว้
นายเคนเนธ ลูอิส ซีอีโอของแบงก์ออฟอเมริกา เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (12) ว่า ธนาคารใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯแห่งนี้มีกำไรในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ รวมถึงยังระบุอีกว่าธนาคารอาจสามารถแล่นผ่านภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้โดยไม่ต้องรับความช่วยเหลือใดๆจากผู้เสียภาษี
คำกล่าวของ ลูอิส มีขึ้นตามหลังนายวิกรัม บัณฑิต ซีอีโอของซิตี้กรุ๊ป และนายเจมมี ไดมอน ซีอีโอของ เจ.พี.มอร์แกน ที่ประกาศช่วงกลางสัปดาห์ว่าธนาคารของพวกเขามีกำไรในปีนี้
นายลูอิส ยังบอกต่ออีกว่า ผลประกอบการตลอดปี 2009 ของแบงก์ออฟอเมริกาจะมีกำไร หลังจากก่อนหน้านี้มีรายงานระบุว่าทางธนาคารแห่งนี้ขาดทุนเป็นไตรมาสแรกในรอบ 17 ปี ช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคมของปีที่แล้ว
ก่อนหน้านี้ ในวันเดียวกัน เจนเนอรัล มอเตอร์ส บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่กำลังมีปัญหา ระบุว่า พวกเขาอาจไม่จำเป็นต้องกู้เงิน 2 พันล้านดอลลาร์เพิ่มเติมจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดยอ้างถึงความพยายามลดค่าใช้จ่ายของพวกเขาในแผนปฏิรูปโครงสร้างบริษัท
นอกจากนี้ การที่ เจเนอรัล อิเล็กทริกส์ หรือ จีอี ที่แม้จะถูก สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อทางธุรกิจชื่อดังประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือ แต่ก็ถือว่าลดลงไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม ข่าวร้ายทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็มีออกมาบ้าง หลังพบตัวเลขคนตกงานเพิ่มขึ้นกว่าที่คาด โดยมีถึง 654,000 คนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ทำร้ายตลาดแรงงานอย่างรุนแรง
กระนั้นก็ดีตัวเลขยอดขายปลีกของสหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ แม้จะลดลง 0.1 เปอร์เซ็นต์ ตามตัวเลขคนตกงาน ทว่าก็ถือว่าดีกว่าที่คาด ซึ่งส่วนใหญ่ที่ทรุดลงก็เชื่อมโยงกับยอดขายรถยนต์นั่นเอง
ความหวังทางเศรษฐกิจได้ส่งผลต่อราคาน้ำมันเมื่อวันพฤหัสบดี (12) ที่ปรับตัวสูงขึ้นมากกว่า 11 เปอร์เซ็นต์ แตะระดับเหนือกว่า 47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนหนึ่งยังได้ปัจจัยเสริมจากการประชุมของโอเปกในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ที่คาดหมายว่าจะมีมติลดกำลังผลิตอีกครั้ง
น้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 4.70 ดอลลาร์ ปิดที่ 47.03 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่เบรนต์ของลอนดอน เพิ่มขึ้น 3.69 ดอลลาร์ ปิดที่ 45.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
