xs
xsm
sm
md
lg

เบิร์กไชร์เจ๊งบานตราสารอนุพันธ์ บัฟเฟตต์ชี้ ศก.สหรัฐฯฝ่อตลอดปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิมหาเศรษฐี วอร์เรน บัฟเฟตต์ เจ้าของบริษัทประกันภัยและการลงทุนเบิร์กไชร์ แฮธาเวย์
เอเจนซี - เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ บริษัทประกันภัยและการลงทุนของอภิมหาเศรษฐี วอร์เรน บัฟเฟตต์ ทำได้แค่ถึงจุดไม่ขาดทุนเมื่อไตรมาส 4 ปีที่แล้ว สืบเนื่องจากต้องเสียเงินไปมโหฬาร จากสัญญาตราสารอนุพันธ์ที่ผูกกับหุ้นในตลาดหลักทรัพย์

กำไรของเบิร์กไชร์ดิ่งฮวบ 96% ถือเป็นการลดลงต่อเนื่องไตรมาสที่ห้า และมูลค่าสุทธิของบริษัทวูบลง 10,900 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสสี่ปีที่ผ่านมา ขณะที่มูลค่าสุทธิต่อหุ้นลดลง 9.6% ในปี 2008 เป็นการลดลงครั้งที่สองนับจากที่บัฟเฟตต์เริ่มบริหารเบิร์กไชร์ในปี 1965 โดยครั้งที่แล้วตกลง 6.2% ในปี 2001

ในจดหมายประจำปีที่ส่งถึงผู้ถือหุ้นเบิร์กไชร์ อภิมหาเศรษฐีบัฟเฟตต์ยังระบุว่า แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะโกลาหลต่อไปตลอดปีนี้ หรือนานกว่านั้น อย่างไรก็ดี แม้มี “การตื่นตระหนก” จากวิกฤตสินเชื่อ และความตกต่ำในตลาดที่อยู่อาศัยและราคาหุ้น แต่บัฟเฟตต์ยังเชื่อมั่นว่าคนอเมริกันสามารถรับมือได้ พร้อมยกย่องความพยายามของรัฐบาลในการหลีกเลี่ยงการล่มสลายขั้นหายนะของระบบการเงิน

ทั้งนี้ ครึ่งหนึ่งของรายได้ของเบิร์กไชร์มาจากธุรกิจประกันภัย ซึ่งรวมถึงบริษัทประกันรถยนต์ไกโก แต่เบิร์กไชร์ยังมีธุรกิจอื่นอีกมากกว่า 70 แห่ง ซึ่งนำเสนอสินค้าและบริการมากมาย อาทิ พรม ไอศกรีม สี อสังหาริมทรัพย์ และชุดชั้นใน

บัฟเฟตต์ เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดของโลก และเป็นอภิมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดเป็นอันดับ 2 ของสหรัฐฯเมื่อปีที่แล้ว จากการรายงานของนิตยสารฟอร์บส์

ไตรมาสที่ผ่านมา รายได้สุทธิของเบิร์กไชร์ลดเหลือ 117 ล้านดอลลาร์ หรือหุ้นละ 76 ดอลลาร์สำหรับหุ้นกลุ่มซี จากที่เคยทำได้ 2,950 ล้านดอลลาร์ หรือหุ้นละ 1,904 ดอลลาร์ในช่วง 1 ปีก่อนหน้านั้น ขณะที่รายได้ลดลง 12% อยู่ที่ 24,590 ล้านดอลลาร์

ถ้าไม่นับยอดขาดทุนจากการลงทุนรวมเป็นเงิน 3,250 ล้านดอลลาร์ เบิร์กไชร์ จะมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 43% เป็น 3,370 ล้านดอลลาร์ หรือหุ้นละ 2,175 ดอลลาร์สำหรับหุ้นกลุ่มเอ จาก 2,350 ล้านดอลลาร์ หรือหุ้นละ 1,518 ดอลลาร์ ในหนึ่งปีก่อนหน้า

ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งมาจากผลกำไรจากการทำอันเดอร์ไรต์ของ เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ รีอินชัวรันซ์ กรุ๊ป และกำไรจากการลงทุน ตลอดจนค่าธรรมเนียมการยกเลิกสัญญาจากกรณีการยุติการเข้าซื้อคอนสเตลเลชัน อิเนอร์จี กรุ๊ป

บิลล์ เบิร์กแมน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์อาวุโสของมอร์นิงสตาร์ในชิคาโก ชี้ว่าเบิร์กไชร์มีผลงานดีกว่าคู่แข่งมากมายในภาวะที่สภาพแวดล้อมการลงทุนและการดำเนินงานไม่เป็นใจ และการอ่านจดหมายถึงผู้ถือหุ้นของบัฟเฟตต์ช่วยฟื้นความเชื่อมั่นได้

นอกจากนี้ บัฟเฟตต์ ยังกล่าวว่า ผลการดำเนินงานจากธุรกิจประกันภัยและสาธารณูปโภคช่วยชดเชยความผิดพลาดของเขา เช่น การตัดสินใจซื้อหุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ขณะที่ราคาน้ำมันและก๊าซทะยานเกือบถึงจุดสูงสุด ซึ่งทำให้เบิร์กไชร์หมดเงินไปหลายพันล้านดอลลาร์ เขายังบอกว่าขาดทุนเกือบ 244 ล้านดอลลาร์จากหุ้นในธนาคารไอร์แลนด์สองแห่ง

มูลค่าตามบัญชีของเบิร์กไชร์ลดลงเหลือ 109,270 ล้านดอลลาร์ ณ สิ้นปี 2008 จาก 120,730 ล้านดอลลาร์ ณ สิ้นปี 2007

ตัวแปรสำคัญของผลประกอบการของบริษัทแห่งนี้คือยอดขาดทุนก่อนหักภาษี 4,610 ล้านดอลลาร์จากสัญญาตราสารอนุพันธ์ราว 251 ฉบับที่ส่วนใหญ่เกี่ยวกับผลประกอบการระยะยาวของดัชนีตลาดหุ้นสำคัญ 4 ตัวและคุณภาพสินเชื่อของตราสารหนี้ขยะความเสี่ยงสูง

ภาวะเศรษฐกิจถดถอยและสินเชื่อตึงตัวฉุดราคาหุ้นรูดลง นอกจากนั้น ยังทำให้การผิดสัญญาไถ่ถอนตราสารหนี้ขยะเพิ่มขึ้นด้วย จึงส่งผลให้เบิร์กไชร์ประสบขาดทุน

ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นเบิร์กไชร์ บัฟเฟตต์เปิดเผยเป็นครั้งแรกถึงดัชนีหุ้นที่ลงทุน ซึ่งได้แก่ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส 500, ฟุตซี่ 100 ของอังกฤษ, ยูโร สต็อกซ์ 50 ของยุโรป และนิกเกอิ 225 ในญี่ปุ่น

บัฟเฟตต์ กล่าวว่า เขาเชื่อว่า สัญญาแต่ละฉบับที่เบิร์กไชร์เป็นเจ้าของ มีราคาไม่เหมาะสมตั้งแต่แรก กระนั้น เบิร์กไชร์ ก็ทำเงินได้หลายพันล้านดอลลาร์จากการชำระเงินล่วงหน้าของคู่สัญญาในสัญญาตราสารอนุพันธ์เหล่านี้หลายราย ซึ่งบริษัทสามารถนำไปลงทุนได้ตามต้องการ ทำให้สัญญาเหล่านี้ยังคงแตกต่างจากสิ่งที่เขาเรียกว่า “อาวุธทำลายล้างสูงทางการเงิน” ซึ่งเขาหมายถึงตราสารอนุพันธ์ชนิดอื่นๆ นั่นเอง

เบิร์กไชร์ ปิดบัญชีของปีที่แล้วโดยมีเงินสดในมือ 25,540 ล้านดอลลาร์ ลดจาก 44,330 ล้านดอลลาร์เมื่อปี 2007 และใช้เงินในการซื้อกิจการไปราว 6,000 ล้านดอลลาร์ รวมถึงการลงทุนในตราสารหนี้ของเจเนอรัล อิเล็กทริก, โกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป และริกลีย์ รวม 14,500 ล้านดอลลาร์ โดยในบริษัทหลังนั้น บัฟเฟตต์ใช้เงินที่ได้จากขายหุ้นบางตัวไปซื้อ

ตลอดปี 2008 กำไรของเบิร์กไชร์ลดลง 62% เหลือ 4,990 ล้านดอลลาร์ ต่ำสุดในรอบหกปี จาก 13,210 ล้านดอลลาร์ รายได้ขยับลง 9% อยู่ที่ 107,800 ล้านดอลลาร์
กำลังโหลดความคิดเห็น