xs
xsm
sm
md
lg

ใช่ โอบามาทำได้แล้ว

เผยแพร่:   โดย: มูฮัมหมัด โคเฮน

(จากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

Yes, he did
By Muhammad Cohen
16/01/2009

ชายผิวดำผู้หนึ่งที่มีบิดาเป็นชาวต่างชาติ แถมมีชื่อเป็นภาษาอาหรับ และมีประวัติแห่งการลงคะแนนเสียงในวุฒิสภา อย่างชนิดเสรีนิยมสุดๆ ทว่า บารัค โอบามา ก็กลับสามารถเอาชนะจุดอ่อนต่างๆ ที่ควรต้องทำให้ตกเป็นฝ่ายรองอย่างมากมายเหล่านี้ จนกลายเป็นผู้มีชัยได้ตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี เมื่อมาถึงตอนนี้ มันก็เป็นเวลาที่เขาจะต้องเบ่งแผงอกอันสง่างาม รวมทั้งบริหารมัดกล้ามทางการเมืองที่จำเป็น เพื่อทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่างๆ อย่างที่เขาให้สัญญาไว้ต่ออเมริกา

ฮ่องกง – เมื่อ 1 ปีก่อน วุฒิสมาชิกบารัค โอบามา ยังคงดูมีโอกาสน้อยที่จะได้ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ท่านผู้อ่านที่ติดตามคอลัมน์ของผมในสื่อนี้คงทราบดีว่า ผมเป็นหนึ่งในกลุ่มคนท้ายๆ เลยที่ไม่ได้ระบุชื่อคลินตัน หรือถูกใครกล่อมจนเชื่อแน่ว่าโอบามาจะสามารถเอาชนะวุฒิสมาชิกฮิลลารี คลินตัน ในการเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครต

เมื่อถึงช่วงการเลือกตั้งทั่วไป พวกขี้ระแวงสงสัยก็ยังเฝ้าคอยให้วุฒิสมาชิก จอห์น แมคเคน เปิดฉากการโจมตีอย่างชนิดถึงตายต่อวุฒิสมาชิกจากมลรัฐอิลลินอยส์ผู้นี้ ชายผิวดำผู้ที่มีบิดาเป็นชาวต่างชาติ แถมมีชื่อที่เป็นภาษาอาหรับ และมีประวัติแห่งการลงคะแนนเสียงอย่างชนิดเสรีนิยมสุดๆ กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่มีการชิงชัยกันอย่างดุเดือดจริงจังเป็นครั้งแรกของเขาแล้ว นับตั้งแต่ที่เขาเคยปราชัยในการสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อปี 2000 ดูแล้ว โอบามาช่างเต็มไปรอยแผลอันถนัดถนี่ สำหรับให้เครื่องจักรนักขย้ำของพรรครีพับลิกันเข้าโจมตี อย่างที่ฮิลลารี คลินตัน ได้กล่าวเตือนเอาไว้นั่นแหละ

ทว่าแมคเคนกลับไม่เคยสามารถท้าดวลต่อสู้กับโอบามาอย่างคู่คี่เลย ในที่สุดแล้วพวกนักประวัติศาสตร์จะต้องเป็นผู้ตัดสินว่า โอบามาสามารถหลบรอดพายุหมัดเหล่านั้นมาได้เพราะเขาเป็นนักต่อสู้ที่ดีเยี่ยมเหลือเกิน หรือเป็นเพราะแมคเคนและผู้ว่าการมลรัฐอะแลสกา ซาราห์ เพ-ลิน เพื่อนร่วมทีมสมัครผู้น่าขันของเขา ทำได้เลวสุดแย่จริงๆ หรือเป็นเพราะว่าประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ทำผลงานเอาไว้อย่างน่าสยดสยอง จนกระทั่งไม่มีชาวรีพับลิกันคนไหนสามารถเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2008 ได้ แม้กระทั่งในการแข่งขันกับผู้สมัครอย่างโอบามา ผู้เต็มไปด้วยสิ่งที่สาธารณชนอเมริกันเข้าใจว่าเป็นจุดอ่อนข้อเสียเปรียบ

ลงท้ายโอบามาคือผู้ชนะการเลือกตั้งทั่วไป และเขาก็ชนะเยอะด้วย เขาได้คะแนนเสียง 69.5 ล้านเสียง หรือมากกว่าผู้สมัครคนใดในประวัติศาสตร์อย่างน้อย 7 ล้านเสียงทีเดียว อีกทั้งเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วก็ยังได้ตัวเลขเปอร์เซ็นต์มากที่สุดในการเลือกตั้งประธานาธิบดี 5 ครั้งหลังที่ผ่านมา ในวันอังคาร(20)นี้เวลาเที่ยงตรง ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี เขาจะสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐฯ บัดนี้เมื่อเขาสามารถทำได้สำเร็จประดุจเป็นผู้เชี่ยวชาญ ก็ถึงเวลาที่เขาจะต้องแสดงตนให้เห็นว่ามีความรู้ความสามารถประดุจผู้เชี่ยวชาญตัวจริง

**ผิดคีย์**

ในฐานะประธานาธิบดี โอบามาจำเป็นต้องประพฤติตนให้เหมือนกับผู้ที่ชนะได้รับเลือกตั้งจากการประกาศแนวนโยบายที่มุ่งจะสร้างความเปลี่ยนแปลง วิธีการแบบครึ่งๆ กลางๆ เท่าที่เขากระทำอยู่จนกระทั่งบัดนี้ ไม่ได้เป็นการเล่นดนตรีที่ถูกโน้ตถูกคีย์เอาเลย ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีที่เต็มไปด้วยพวกที่เคยทำงานกับคณะรัฐบาลบิลล์ คลินตัน, การตัดสินใจอย่างอธิบายไม่ได้ในการเลือกเอาฮิลลารี คลินตันเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ, และ ภายหลังรณรงค์หาเสียงซึ่งเรียกร้องให้กลับตาลปัตรนโยบายของบุชที่โอบามากล่าวหาว่าเป็นการทำสงครามในอิรักและอัฟกานิสถานที่ผิดพลาดอย่างยิ่งนั้น เขาก็ยังกลับเก็บเอา รอเบิร์ต เกตส์ ไว้ในตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม, แม้กระทั่งการที่เขาเลือกให้ ศาสนาจารย์ ริก วอร์เรน เป็นผู้กล่าวคำสวดอ้อนวอนพระเจ้าเนื่องในการเข้าดำรงตำแหน่งของเขา ก็เป็นการเล่นโน้ตเล่นคีย์ที่ผิดพลาดเช่นกัน

ทีมงานของโอบามาออกมาแก้ต่างให้แก่การคัดเลือกตัวบุคคลเหล่านี้ว่า เป็นส่วนหนึ่งแห่งความพยายามของโอบามาที่จะเป็นประธานาธิบดีของชาวอเมริกันทุกๆ คน อีกทั้งเป็นการลดช่องว่างต่างๆ ที่ได้ถูกขยายให้ถ่างกว้างขึ้นและลึกล้ำขึ้นมากมายในระหว่างช่วง 8 ปีแห่งการปกครองของบุช หรือหากดูให้ดีแล้วจะย้อนรอยกลับไปได้ไกลถึงบรรพบุรุษทางการเมืองของบุช นั่นคือ โรนัลด์ เรแกน ด้วยซ้ำ โอบามานั้นประสงค์ให้ชาวอเมริกันได้เรียนรู้ที่จะ “ไม่เห็นด้วยโดยไม่รู้สึกว่าทนการไม่เห็นด้วยไม่ได้” และการเชิญศาสนาจารย์ วอร์เรน ถือเป็นการแสดงท่าทีในแนวทางนี้ที่แข็งขันมาก แม้จะไม่ได้มีความหมายอะไรจริงจัง

อันที่จริง ประธานาธิบดีคนใหม่ทุกๆ คนต่างก็ต้องเคยพยายามสร้าง “พันธมิตรที่มาจากทุกพรรคฝ่าย” กันมาแล้วทั้งนั้น กระทั่ง จอร์จ ดับเบิลยู บุช ก็ยังเคยสัญญาว่าเขาจะปฏิบัติตัวเป็น “ผู้สร้างความสามัคคี ไม่ใช่ผู้สร้างความแตกแยก” แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ชาวรีพับลิกันและชาวเดโมแครต ให้คำนิยามเรื่อง “ทุกพรรคฝ่าย” กันอย่างไรต่างหาก

โอบามานั้นกำลังเอนเอียงที่จะไปจับมือกับพวกฝ่ายขวา กำลังพาตัวเองให้ขยับเข้าไปตรงกลาง ในนามของ “การดึงเอาทุกพรรคฝ่ายมาร่วมมือด้วย” บางทีเราจะรู้สึกว่ายุทธวิธีนี้ช่างคุ้นๆ ตาอยู่ นั่นก็เพราะบิลล์ คลินตัน ได้เคยใช้มาแล้วทั้งตอนที่เป็นผู้สมัครและเมื่อได้เป็นประธานาธิบดี สำหรับฝ่ายก้าวหน้าจำนวนมากแล้ว สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นปริศนาลึกลับอันยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20 ก็คือ การที่ฝ่ายขวาช่างจงเกลียดจงชังถึงขั้นเป็นตายเอากับคลินตัน ทั้งๆ ที่ในทางเป็นจริงแล้ว คลินตันปกครองประเทศเหมือนกับเป็นชาวรีพับลิกันคนหนึ่งทีเดียว

คลินตันช่างสมเป็นผลผลิตของ “สภาผู้นำเดโมแครต” ที่เป็นพวกสายกลาง โดยเขารักษาคำมั่นสัญญาของเขาที่ว่า จะ “ยุติระบบสวัสดิการอย่างที่พวกเราเคยรู้จัก” เขาทำให้งบประมาณของรัฐบาลกลางมีความสมดุล และเป็นประธานดูแลให้เกิดการเติบโตขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งสำหรับภาคเศรษฐกิจทั่วๆ ไป และสำหรับวอลล์สตรีท ด้วยการดำเนินนโยบายต่างๆ ที่เป็นมิตรกับธุรกิจ ยุคของคลินตันจึงกลายเป็นการฟื้นชีพมนตร์ขลังแห่งยุคประธานาธิบดี ดไวต์ ดี ไอเซนฮาวร์ ที่เป็นชาวรีพับลิกัน มนตร์ขลังดังกล่าวก็คือ สันติภาพและความมั่งคั่งรุ่งเรือง

**นโยบายของบุช**

วิธีของคลินตันช่างตัดกันเป็นตรงกันข้ามกับวิธีของบุช

เหมือนๆ กับคลินตันเลย บุชนั้นเริ่มต้นวาระแรกของเขาในฐานะที่เป็นประธานาธิบดีเสียงข้างน้อย โดยที่ชนะได้เสียงโหวตโดยตรงจากประชาชนไม่ถึงกึ่งหนึ่ง บุชเผชิญคำถามเรื่องความชอบธรรมที่ลึกล้ำยิ่งกว่าคลินตันด้วยซ้ำ เพราะเขาได้คะแนนป๊อปปูลาร์โหวตน้อยกว่า อัล กอร์ผู้เป็นคู่แข่ง แต่บุชก็ชนะและถือว่าได้รับการเลือกตั้ง เพราะการตัดสินของคณะผู้พิพากษาศาลสูงสุด ซึ่งในนั้นมี 5 คนที่ได้รับการแต่งตั้งเข้าสู่ตำแหน่งนี้ เมื่อตอนที่ จอร์จ บุช ผู้บิดา นั่งอยู่ในทำเนียบขาว โดยตอนแรกในฐานะเป็นรองประธานาธิบดี และต่อมาก็เป็นประธานาธิบดี ถ้าหากมีชาติแอฟริกาสักแห่งหนึ่งเกิดเลือกผู้นำของตนด้วยวิธีการเช่นนี้แล้ว สหรัฐฯก็อาจจะประกาศตัดความช่วยเหลืออย่างรวดเร็วเสียยิ่งกว่าที่คุณจะพูดคำว่า “รอเบิร์ต มูกาเบ” ออกมาเสียอีก

ถึงแม้บุชก็เสนอให้สามัคคีกัน อีกทั้งยังเลือกเอา สาธุคุณ หลุยส์ เลออน ซึ่งเป็นนักเทศน์ที่มีความคิดขัดแย้งอย่างแรงกับฐานเสียงของเขา ให้มาเป็นผู้กล่าวสวดอ้อนวอนระหว่างการสาบานตัวเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สองของเขา แต่บุชก็ได้นำสหรัฐฯหักเลี้ยวอย่างแรงไปสู่วาระแบบฝ่ายขวา อาทิ เขาพยายามที่จะทำลายกำแพงขวางกั้นทางรัฐธรรมนูญที่ให้แบ่งแยกระหว่างศาสนจักรกับรัฐ เขาจัดวางนโยบายเศรษฐกิจทางด้านภาษีและระเบียบกำกับตรวจสอบ โดยอิงตามหลักคำสอนที่เขาศรัทธาแบบสุดลิ่มทิ่มประตู ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลต้องขาดดุลงบประมาณอย่างมหาศาลที่สุดเป็นประวัติการณ์, มีอัตราการว่างงานที่สูงที่สุดในรอบหลายสิบปี, ระบบการเงินของสหรัฐฯก็อยู่ในสภาพใกล้หลอมละลาย, และเกิดวิกฤตเศรษฐกิจระดับโลกครั้งร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1930 เป็นต้นมา

สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือ บุชได้เดินตามกลุ่มคนที่ฝักใฝ่ในอุดมการณ์ด้านนโยบายการต่างประเทศชนิดสุดโต่ง อันมีรองประธานาธิบดี ดิ๊ก เชนีย์ เป็นผู้นำ อาการโรคของคนเหล่านี้ในเรื่องการปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างของคณะรัฐบาลคลินตัน ก็รวมถึงการเพิกเฉยภัยคุกคามจากกลุ่มอัลกออิดะห์ ตลอดจนละเลยต่อร่องรอยต่างๆ ที่ส่อเค้าล่วงหน้าให้เห็นถึงเหตุการณ์โจมตี 9/11 หลังจากนั้น บุชยังใช้สอยความปรารถนาดีจากนานาประเทศที่การโจมตีครั้งนั้นช่วยก่อกำเนิดขึ้นมา จนหมดเปลืองไปอย่างเปล่าๆ ปลี้ๆ ด้วยการยอมตามความประสงค์ของพวกฝักใฝ่อุดมการณ์กลุ่มเดียวกันนั้นอีก และเข้าบุกรุกรานอิรักอย่างไร้เหตุผลสิ้นดี ความมืดบอดอันเนื่องจากยึดติดอยู่กับอุดมการณ์เช่นนี้ ยังได้นำไปสู่การยึดครองอิรักอันเต็มไปด้วยความบกพร่อง ซึ่งเวลานี้ก็ยังคงส่งผลขยายแผลของความผิดพลาดในตอนแรก

ในขณะที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ดังกล่าวเหล่านี้ พวกรีพับลิกันให้คำนิยามคำว่า “ความสนับสนุนจากทุกพรรคฝ่าย” เอาไว้ว่าคือการมุ่งผลักดันวาระของพวกเขาเองอย่างเอาเป็นเอาตาย และการท้าทายพวกเดโมแครตว่าหากไม่สามารถเอาชนะรีพับลิกันได้ก็ควรหันมาจับมือกับรีพับลิกันดีกว่า สำหรับชาวรีพับลิกันจำนวนหนึ่งแล้ว คำพูดประกาศทำศึกที่บุชกล่าวในช่วงหลังเกิดเหตุการณ์ 9/11 ที่ว่า “ถ้าคุณไม่เข้าร่วมกับเราก็ต้องเป็นศัตรูกับเรา” นั้น เป็นสิ่งที่สามารถประยุกต์ใช้กับการเมืองภายในประเทศได้ดีพอๆ กัน

**พ่ายแพ้แต่ยังไม่ยอมค้อมหัว**

แม้กระทั่งหลังจากพ่ายแพ้การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาในปี 2006 และการเลือกตั้งประธานาธิบดีในคราวนี้ แต่พวกรีพับลิกันก็ยังป่าวร้องสนับสนุนนโยบายที่ถูกประชาชนปฏิเสธแล้วเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น เมื่อเดือนที่ผ่านมา พวกผู้ที่ได้รับแต่งตั้งจากประธานาธิบดี “เป็ดง่อย” อย่างบุช ได้ออกระเบียบปฏิบัติใหม่ๆ ซึ่งทำให้พวกผู้ให้บริการด้านสุขภาพ สามารถใช้ความเชื่อส่วนตัวทางด้านศาสนาของตนได้มากขึ้น เพื่อมาเป็นเหตุผลข้ออ้างในการไม่ทำตามกฎหมาย และปฏิเสธไม่ให้ข้อมูลข่าวสารแก่สตรี ในเรื่องเกี่ยวกับการคุมกำเนิดและการทำแท้ง ตลอดจนวิธีที่จะขอรับบริการดังกล่าว

พวกรีพับลิกันที่เป็นสมาชิกรัฐสภาก็ได้ทำตัวกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านอย่างสมชื่อที่สุดไปแล้ว ด้วยการตั้งท่าคัดค้านทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเสนอโดยใครก็ตาม โดยไม่ใยดีเลยว่าบรรดาผู้ออกเสียงจะคิดเห็นอย่างไร พวกเขากำลังคัดค้านทั้งประธานาธิบดีของพวกเขาเองและว่าที่ประธานาธิบดี จากการพยายามสกัดกั้นไม่ให้ปล่อยเงินที่เหลืออีก 350,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของเงินงบประมาณกู้ชีวิตภาคธนาคารของรัฐบาล ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้รับการบันทึกไว้ว่า พวกเขาคัดค้านในทางอุดมการณ์ต่อการที่รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงในตลาดเสรี เมื่อเดือนที่แล้ว พวกรีพับลิกันก็ท้าทายหยามหมิ่นทั้งบุช, โอบามา, และสามัญสำนึก จากการเข้าขัดขวางไม่ให้รัฐบาลเข้าช่วยเหลืออุตสาหกรรมรถยนต์ เพื่อแสดงให้เห็นความเกลียดชังอย่างเข้ากระดูกของพรรคที่มีต่อเหล่าสหภาพแรงงาน

ในเวลาที่รัฐบาลมุ่งกระทำการเพื่อปกป้องรักษาตำแหน่งงานและกระตุ้นเศรษฐกิจ ชาวรีพับลิกันเหล่านี้กลับเรียกร้องเสนอให้ดำเนินการลดภาษีและลดเลิกระเบียบกฎเกณฑ์ อันเป็นนโยบายชนิดที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายยุ่งเหยิงอยู่ในเวลานี้ การที่ประชาชนผู้ออกเสียงปฏิเสธไม่ยอมรับนโยบายเหล่านี้ทั้งในปี 2006 และ 2008 และมอบชัยชนะให้แก่ฝ่ายเดโมแครตนั้น ไม่ได้หยุดยั้งพวกรีพับลิกันให้ยอมยุติการสนับสนุนเรื่องพวกนี้ในทุกวิถีทางที่จะทำได้เลย สำหรับวาระแห่งการเป็นประธานาธิบดีของโอบามาก็เช่นเดียวกัน พวกเขาได้ส่งสัญญาณเตือนแล้วว่า พวกเขาวางแผนที่จะคัดค้านส่วนประกอบหลักๆ ในวาระของเขา อาทิเช่น การตั้งงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้จ่ายด้านงานสาธารณูปโภค

ขณะที่ชาวพรรคเดโมแครตให้คำนิยาม “การดึงเอาทุกพรรคฝ่ายมาร่วมมือด้วย” ว่า เป็นการแสวงหาจุดที่สามารถร่วมกันได้เพื่อจะได้เลิกแยกกันเป็นฝักฝ่ายนั้น ชาวพรรครีพับลิกันกลับมองเห็นแตกต่างออกไป โดยคิดเหมือนกับการเล่นโยนเหรียญปั่นแปะของพวก “ขาใหญ่” นั่นก็คือ ถ้าออกหัว เราก็ชนะ แต่ถ้าออกก้อย พวกแกก็อย่าบังอาจรุกเข้ามามากเกินไปนะ

โอบามากำลังนำพาให้พรรคเดโมแครตใช้วิธีแบบทำตัวให้ดีให้น่ารักกับพวกศัตรู และฝ่ายก้าวหน้าจำนวนมากต่างกำลังเซ็งจัดกับท่าทีเช่นนี้ พวกเขาคิดว่าการที่เดโมแครตให้ความร่วมมือกับบุชนั้น ก็เหมือนกับการช่วยหว่านเพาะสิ่งที่ก่อให้เกิดความหายนะในตลอด 8 ปีที่ผ่านมา และบัดนี้หากจะต้องหันมาร่วมมือกันและเลิกแยกเป็นฝักฝ่ายแล้ว ก็มีเหตุผลสมควรเพียงประการเดียวเท่านั้น นั่นคือ การรุมเล่นงานพวกที่เป็นศัตรู

ลองจินตนาการดูเถิดว่า พวกรีพับลิกันจะลงไม้ลงมือกันอย่างไร หากประธานาธิบดีที่เป็นฝ่ายเดโมแครตสักคนหนึ่ง กระทำความผิดพลาดร้ายแรงอย่างที่บุชได้ทำมา สมมุติว่า อัล กอร์ คือผู้ที่เป็นประธานาธิบดีตอนที่เกิดเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 คุณสามารถวางเดิมพันได้เลยว่าพวกรีพับลิกันจะไม่เรียงแถวอยู่ข้างหลังคอยสนับสนุนเขาหรอก พวกเขาคงจะเคลื่อนไหวยื่นเสนอถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งด้วยซ้ำไป นอกจากนั้น ชาวรีพับลิกันจะไม่มีทางลงมติรับรองการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ซึ่งทั้งยโสโอหังและทั้งไร้ความสามารถเฉกเช่น คอนโดลิซซา ไรซ์ หรือพวกยึดมั่นอุดมการณ์แบบสุดโต่งอย่าง ผู้พิพากษาศาลสูงสุด ซามูเอล อลิโต

**ต้องเบ่งกล้ามกันบ้าง**

เวลานี้เมื่อชาวพรรคเดโมแครตเป็นฝ่ายชนะ ฝ่ายก้าวหน้าก็เห็นว่าถึงคราวของพวกเขาแล้วที่จะได้เบ่งกล้ามแสดงอำนาจอภิสิทธิ์กันบ้าง หลังจากที่ต้องทนอดสูมาเป็นเวลาถึง 8 ปี อย่างไรก็ดี แม้โอบามาจะมีแผงอกอันสง่างดงาม แต่พวกเขาก็ยังไม่ค่อยเห็นการยืดอกบริหารมัดกล้ามทางการเมืองจากโอบามาเสียเลย ฝ่ายก้าวหน้าก็กระหายที่จะได้เห็นการตัดสินถูกผิดและความจงรักภักดีชนิดเดียวกับที่บุชได้สาธิตไว้แก่กลุ่มแกนกลางที่สนับสนุนเขา เราชนะ พวกมันพ่ายแพ้ ฝ่ายก้าวหน้าเชื่อว่าต้องประกาศกันให้กระจะ และข้อเท็จจริงเหล่านี้ก็จักต้องเป็นตัวผลักดันนโยบาย โดยไม่ถูกลบเลือนจางหายไป จากการมุ่งมองถึงการเลือกตั้งสมัยหน้า หรือท่าทีแสดงความปรารถนาดีใดๆ ทั้งนั้น การดึงเอาทุกพรรคฝ่ายมาร่วมมือกัน ควรต้องเริ่มต้นด้วยการที่ฝ่ายปราชัยพยายามยื่นมือมาขอจับกับฝ่ายมีชัย ไม่ใช่ในทางตรงกันข้าม

แน่นอนที่ว่าเมื่อคุณเบ่งกล้าม บางครั้งก็อาจทำให้คุณก้าวไปสู่สังเวียนการสู้รบ และเมื่อคุณสู้ คุณก็อาจจะตกเป็นฝ่ายแพ้ก็ได้ โอบามาและทีมของเขาได้สาธิตให้เห็นระหว่างช่วงการเลือกตั้งขั้นต้น(ไพรมารี)แล้วว่าพวกเขาไม่หวาดกลัวที่จะกลายเป็นฝ่ายปราชัยหรอก โอบามาสามารถกล่าวคำปราศรัยที่ถือได้ว่าน่าจับใจที่สุดครั้งหนึ่งของเขาในช่วงการรณรงค์หาเสียงคราวนี้ ภายหลังจากที่เขาพ่ายแพ้อย่างน่าผิดหวังในมลรัฐนิวแฮมป์เชียร์ หรือตอนที่เขาได้ชัยชนะอย่างต่อเนื่องในเดือนกุมภาพันธ์ จนเมื่อดูจากจำนวนผู้แทนที่ได้รับมา ก็ถือได้ว่าเขาขึ้นสู่ฐานะนำอย่างไม่มีใครมาเบียดให้พ่ายแพ้ได้อีก โอบามาก็กลับมาปราชัยในสนามการเลือกตั้งขั้นต้นซึ่งจริงๆ แล้วน่าจะมีความสำคัญไม่ใช่เล่น ไม่ว่าจะเป็นที่เทกซัส, โอไฮโอ, หรือ เพนซิลวาเนีย แต่เขาก็ยืนหยัดต้านรับแรงตีกระหน่ำเหล่านั้นได้ กระทั่งประสบชัยชนะได้เป็นผู้สมัครของพรรคในที่สุด

ในฐานะประธานาธิบดี โอบามาจำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงธาตุแข็งแกร่งในการรับความปราชัยทำนองเดียวกัน เขายังจำเป็นต้องตระหนักเอาไว้ว่า ขณะที่บททดสอบตลอดจนประเด็นปัญหาที่เขาจะต้องเผชิญยังจะหลั่งไหลเข้ามาไม่มีขาดสายนั้น มันก็ไม่ได้มีการลงคะแนนเสียงกันทุกๆ สัปดาห์ และการเลือกตั้งที่จะมีความหมายอย่างแท้จริงนั้นจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะถึงวันอังคารแรกของเดือนพฤศจิกายนปี 2012 นั่นแหละ ระหว่างการเลือกตั้งขั้นต้นที่ผ่านมา แม้แต่ตอนที่ต้องแบกรับความพ่ายแพ้เหล่านั้น โอบามาและทีมของเขาก็ยังแสดงให้เห็นสมรรถนาะอันทรงคุณค่า นั่นคือ ความสามารถที่จะมองให้เลยไกลออกไปจากเหตุการณ์ในวันนั้นๆ เพื่อมุ่งจับภาพที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่า การมองทิศทางอนาคตเช่นนี้จะให้ประโยชน์แก่โอบามาในทำเนียบขาวเป็นอย่างมาก ถ้าหากเขายังคงรักษาคุณสมบัตินี้ไว้ได้

มันจะยิ่งมีคุณค่าเป็นพิเศษทีเดียว เนื่องจากความยุ่งเหยิงที่โอบามารับมรดกมา ทำให้เป็นโอกาสอันดียิ่งที่จะกระทำการอย่างห้าวหาญ ที่จะกล้าเสี่ยงเพื่อให้ได้รางวัลงามๆ เมื่อความตื่นเต้นจากพิธีสาบานตนรับตำแหน่งจบสิ้นลงแล้ว โอบามาจำเป็นจะต้องมีความกล้าหาญที่จะลงมือเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นความมั่นใจที่จะเชื้อเชิญพวกปรปักษ์ของเขาให้มาร่วมจับมือกับเขา หรือความฮึกเหิมที่จะลงมือทำตามลำพังเมื่อเขามั่นใจว่าเขาเป็นฝ่ายถูก หลังจากช่วงเวลา 8 ปีแห่งความคิดอันแสนคับแคบของจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประเทศไม่ได้ต้องการเพียงแค่การจัดงานปาร์ตี้กลางแจ้งอันใหญ่โต มากเท่ากับต้องการความคิดที่ยิ่งใหญ่โอฬารหรอก

อดีตโปรดิวเซอร์รายการข่าวออกอากาศทางวิทยุโทรทัศน์ มูฮัมหมัด โคเฮน เล่าขานเรื่องราวของอเมริกาสู่โลกในฐานะที่เป็นนักการทูตสหรัฐฯ และในฐานะเป็นผู้เขียน “ฮ่องกง ออน แอร์” (www.hongkongonair.com) นวนิยายที่ใช้เหตุการณ์การส่งมอบฮ่องกงให้แก่จีนเมื่อปี 1997 เป็นฉากหลัง และเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับข่าวทีวี, ความรัก, การทรยศหักหลัง, ธุรกรรมทางการเงินอันมหึมาซับซ้อน, และชุดชั้นในราคาถูกๆ
กำลังโหลดความคิดเห็น