เอเอฟพี - สิงคโปร์เตรียมเปิดเผยร่างงบประมาณฉบับใหม่ต่อสาธารณชนในวันพฤหัสบดี (22) โดยนักวิเคราะห์หลายคน คาดว่า จะมีการปรับลดอัตราภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพื่อแก้ไขปัญหาภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่สิงคโปร์ได้รับเอกราชจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษ
นักเศรษฐศาสตร์ของซิตี้กรุ๊ป ในสิงคโปร์ กิตเว่ยเจิง ให้ความเห็นว่า เศรษฐกิจสิงคโปร์กำลังเดินเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1965 เป็นต้นมา
ขณะที่สื่อมวลชนท้องถิ่นก็รายงานเมื่อวันจันทร์ (19) ถึงถ้อยแถลงของอดีตนายกรัฐมนตรี โก๊ะจ๊กตง ที่ว่า รัฐบาลอาจพิจารณานำมากองทุนความมั่งคั่งภาครัฐมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้หลุดพ้นจากสภาพถดถอยรุนแรงครั้งนี้
รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศงบประมาณใหม่ครั้งนี้ ก่อนกำหนดเวลาปกติ 1 เดือน เพื่อสะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ลีเซียนลุง ก็แถลงเตือนว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีงบประมาณปัจจุบัน ที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะติดลบ 2 เปอร์เซ็นต์นั้น อาจจะต้องมีการปรับลดการคาดการณ์ให้ต่ำลงไปอีก ขณะที่นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่าเศรษฐกิจสิงคโปร์อาจหดตัวถึง 3 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่านั้น
สิงคโปร์นับเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียที่ระบบเศรษฐกิจเดินเข้าสู่ภาวะถดถอยหลังเกิดวิกฤตการณ์สินเชื่อซับไพรม์ในสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเผชิญกับภาวะวิกฤตรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ยุคเกรท ดีเพรสชั่นในช่วงทศวรรษหลังปี 1930
หนังสือพิมพ์สเตรตส์ ไทมส์ ของสิงคโปร์ รายงานโดยอ้างถ้อยแถลงของอดีตนายกรัฐมนตรีโก๊ะจกตง ว่า ระบบเศรษฐกิจของประเทศกำลังเผชิญกับมรสุมครั้งรุนแรงที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจ ตลอดจนนักธุรกิจและผู้นำสหภาพแรงงานของสิงคโปร์ ต่างคาดหวังว่า รัฐบาลจะจัดทำงบประมาณใหม่ในเชิงรุกเพื่อชะลอการทรุดตัวลงอย่างรวดเร็วของภาวะเศรษฐกิจ หลังจากสถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งยังผลให้บริษัทธุรกิจจำนวนมากต้องปรับลดการจ้างงานหรือไม่ก็ปรับลดค่าจ้างแรงงาน
สถาบันวิจัยแม็คควอรี คาดการณ์ว่า งบประมาณใหม่ของสิงคโปร์ นอกจากจะมีมาตรการลดต้นทุนทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการแล้ว รัฐบาลน่าจะเพิ่มงบประมาณการลงทุนในระบบสาธารณูปโภคต่างๆ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือค่าครองชีพแก่ชนชั้นกลางและผู้มีรายได้น้อยเพิ่มมากขึ้นด้วย
นอกจากนั้น ยังคาดการณ์กันว่า รัฐบาลจะใช้ทุนสำรองที่มีอยู่เป็นจำนวนมหาศาลมาใช้ในการสนับสนุนส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงและดำเนินโครงการยกระดับทักษะแรงงานของประชาชน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง
รายงานของแม็คควอรี ชี้ว่า ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเมื่อปี 1985 รัฐบาลสิงคโปร์ได้ใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นมูลค่าราว 2,500 ล้านดอลลาร์ หรือ 6.5 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) และในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในภูมิภาคเอเชียเมื่อปี 1998 รัฐบาลสิงคโปร์ก็ใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจสูงถึง 12,500 ล้านดอลลาร์ หรือ 9.1 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี
ธาร์มาน ชานมูการัตนัม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสิงคโปร์ แถลงก่อนหน้านี้ ว่า งบประมาณฉบับใหม่จะต้องเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมค่อนข้างมาก โดยจะเน้นการให้ความช่วยเหลือแก่บริษัทธุรกิจที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน เป็นกรณีพิเศษ
นักวิเคราะห์หลายคนคาดการณ์ว่า งบประมาณใหม่ของรัฐบาลสิงคโปร์ อาจมีการปรับลดภาษีธุรกิจจาก 18 เปอร์เซ็นต์ลงเหลือ 17 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่บริษัทธุรกิจที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง เพื่อแลกกับการไม่ปรับลดพนักงานด้วย
นักเศรษฐศาสตร์ของซิตี้กรุ๊ป ในสิงคโปร์ กิตเว่ยเจิง ให้ความเห็นว่า เศรษฐกิจสิงคโปร์กำลังเดินเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1965 เป็นต้นมา
ขณะที่สื่อมวลชนท้องถิ่นก็รายงานเมื่อวันจันทร์ (19) ถึงถ้อยแถลงของอดีตนายกรัฐมนตรี โก๊ะจ๊กตง ที่ว่า รัฐบาลอาจพิจารณานำมากองทุนความมั่งคั่งภาครัฐมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้หลุดพ้นจากสภาพถดถอยรุนแรงครั้งนี้
รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศงบประมาณใหม่ครั้งนี้ ก่อนกำหนดเวลาปกติ 1 เดือน เพื่อสะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ลีเซียนลุง ก็แถลงเตือนว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีงบประมาณปัจจุบัน ที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะติดลบ 2 เปอร์เซ็นต์นั้น อาจจะต้องมีการปรับลดการคาดการณ์ให้ต่ำลงไปอีก ขณะที่นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่าเศรษฐกิจสิงคโปร์อาจหดตัวถึง 3 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่านั้น
สิงคโปร์นับเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียที่ระบบเศรษฐกิจเดินเข้าสู่ภาวะถดถอยหลังเกิดวิกฤตการณ์สินเชื่อซับไพรม์ในสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเผชิญกับภาวะวิกฤตรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ยุคเกรท ดีเพรสชั่นในช่วงทศวรรษหลังปี 1930
หนังสือพิมพ์สเตรตส์ ไทมส์ ของสิงคโปร์ รายงานโดยอ้างถ้อยแถลงของอดีตนายกรัฐมนตรีโก๊ะจกตง ว่า ระบบเศรษฐกิจของประเทศกำลังเผชิญกับมรสุมครั้งรุนแรงที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจ ตลอดจนนักธุรกิจและผู้นำสหภาพแรงงานของสิงคโปร์ ต่างคาดหวังว่า รัฐบาลจะจัดทำงบประมาณใหม่ในเชิงรุกเพื่อชะลอการทรุดตัวลงอย่างรวดเร็วของภาวะเศรษฐกิจ หลังจากสถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งยังผลให้บริษัทธุรกิจจำนวนมากต้องปรับลดการจ้างงานหรือไม่ก็ปรับลดค่าจ้างแรงงาน
สถาบันวิจัยแม็คควอรี คาดการณ์ว่า งบประมาณใหม่ของสิงคโปร์ นอกจากจะมีมาตรการลดต้นทุนทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการแล้ว รัฐบาลน่าจะเพิ่มงบประมาณการลงทุนในระบบสาธารณูปโภคต่างๆ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือค่าครองชีพแก่ชนชั้นกลางและผู้มีรายได้น้อยเพิ่มมากขึ้นด้วย
นอกจากนั้น ยังคาดการณ์กันว่า รัฐบาลจะใช้ทุนสำรองที่มีอยู่เป็นจำนวนมหาศาลมาใช้ในการสนับสนุนส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงและดำเนินโครงการยกระดับทักษะแรงงานของประชาชน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง
รายงานของแม็คควอรี ชี้ว่า ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเมื่อปี 1985 รัฐบาลสิงคโปร์ได้ใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นมูลค่าราว 2,500 ล้านดอลลาร์ หรือ 6.5 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) และในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในภูมิภาคเอเชียเมื่อปี 1998 รัฐบาลสิงคโปร์ก็ใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจสูงถึง 12,500 ล้านดอลลาร์ หรือ 9.1 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี
ธาร์มาน ชานมูการัตนัม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสิงคโปร์ แถลงก่อนหน้านี้ ว่า งบประมาณฉบับใหม่จะต้องเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมค่อนข้างมาก โดยจะเน้นการให้ความช่วยเหลือแก่บริษัทธุรกิจที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน เป็นกรณีพิเศษ
นักวิเคราะห์หลายคนคาดการณ์ว่า งบประมาณใหม่ของรัฐบาลสิงคโปร์ อาจมีการปรับลดภาษีธุรกิจจาก 18 เปอร์เซ็นต์ลงเหลือ 17 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่บริษัทธุรกิจที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง เพื่อแลกกับการไม่ปรับลดพนักงานด้วย
