xs
xsm
sm
md
lg

ค่ำคืนสยองของเมืองมุมไบ

เผยแพร่:   โดย: ราชา เมอร์ธี

(จากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

Mumbai’s night of terror
By Raja Murthy
27/11/2008

กลุ่มคนติดอาวุธเต็มเพียบกลุ่มเล็กๆ หลายกลุ่ม ได้เปิดการโจมตีตามจุดต่างๆ เป็นระลอกในเมืองมุมไบ (บอมเบย์) ทำให้มีผู้ถูกสังหารไปกว่า 80 คน ถึงแม้เมืองศูนย์กลางการเงินของอินเดียแห่งนี้เคยเผชิญกับเหตุการณ์ก่อการร้ายมานานปีแล้ว ทว่าไม่มีครั้งไหนเหมือนครั้งนี้เลย พูดกันอย่างใสๆ และง่ายๆ มันคือการทำสงครามกลางเมืองใหญ่โดยแท้ ราชา เมอร์ธี เป็นผู้หนึ่งที่ติดแหง็กอยู่ในท่ามกลางการปฏิบัติการคราวนี้ และพยายามปะติดปะต่อเรียบเรียงเรื่องราวอันชวนสยองบางเรื่องของพวกชาวต่างชาติ ที่กลายเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดในเหตุการณ์รุนแรงละเลงเลือดคราวนี้

มุมไบ – สำหรับริตา และโธมัสแล้ว ค่ำคืนแห่งความสยดสยองอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในเมืองศูนย์กลางการเงินของอินเดีย เริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 21.30 น. ชาวเยอรมันทั้งสองคนนี้อยู่ในกลุ่มลูกเรือของสายการบินลุฟต์ฮันซา ที่เพิ่งเสร็จสิ้นการรับประทานอาหารค่ำ ณ ลีโอโปลด์ คาเฟ่ ในย่านโคลาบา ทางด้านใต้ของนครมุมไบ(บอมเบย์)

เพียง 5 ชั่วโมงก่อนหน้านั้น เอเชียไทมส์ออนไลน์เพิ่งเผยแพร่บทความ (ชื่อ Closing time for India’s Iranian Cafes) พูดถึงร้านอาหารแห่งนี้ว่าเป็นที่โปรดปรานของพวกนักท่องเที่ยวชาวตะวันตก และก็ด้วยความเป็นที่นิยมชนชื่นเช่นนี้เอง จึงทำให้มันกลายเป็นเป้าหมายโจมตี 1 ใน 12 แห่งของพวกผู้ก่อการร้ายเมื่อคืนวันพุธ(26) ซึ่งได้สังหารผลาญชีวิตผู้คนรวมแล้วกว่า 80 คน และบาดเจ็บอีกร่วม 300 คน โดยที่ตัวเลขเหล่านี้ยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ (ตามตัวเลขของสำนักข่าวเอพีในคืนวันศุกร์ 28 ประมาณไว้ว่ามีผู้เสียชีวิตเกิน 150 คน –ผู้แปล)

นอกเหนือจากคาเฟ่แห่งนี้แล้ว กลุ่มหัวรุนแรงที่มีทั้งอาวุธอัตโนมัติและระเบิด ยังได้จู่โจมเข้าไปในโรงแรมหรูหรา 2 แห่ง, โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง, และสถานีรถไฟอีกแห่งหนึ่ง แล้วสาดกระสุนโปรยปรายความตายไปทั่ว ในเวลาที่รายงานข่าวชิ้นนี้ออกเผยแพร่นั้น ยังมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากถูกจับเป็นตัวประกันอยู่ในโรงแรมทัชมาฮาล อันเป็นโรงแรมชื่อก้องที่มีอายุเก่าแก่ถึง 105 ปี และโรงแรมไทรเดนต์ โอเบอรอย ซึ่งก็เป็นโรงแรมระดับห้าดาวเช่นเดียวกัน

“ดิฉันเห็นผู้ก่อการร้ายคนหนึ่งกำลังกราดยิงปืนกลของเขามาที่คนซึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะถัดไป” ริตาเล่า “จากนั้นก็คิดว่าปืนกำลังเบนมาที่ตัวดิฉัน” แต่แล้วผู้ก่อการร้ายคนนั้นที่น่าจะมีอายุในราว 30 กลางๆ ก็หันปืนที่เล็งออกไปจากตัวเธอ ในชั่วขณะที่ถูกขัดจังหวะจากเพื่อนคนร้ายอีกคนหนึ่ง ซึ่งกำลังรออยู่ตรงชั้นระเบียงของตัวอาคาร และยิงใส่ผู้มารับประทานอาหารอยู่เป็นระยะๆ

ชีวิตของเธอรอดมาได้ในเศษเสี้ยวของวินาทีนั้นเอง ทางการตำรวจแจ้งว่าพวกเขาได้สังหารมือปืนไป 4 คนและจับกุมได้อีก 9 คน มีกลุ่มคนที่อ้างชื่อตัวเองว่ากลุ่ม “เดคคัน มูจาฮีดีน” (Deccan Mujahideen) ประกาศตนผ่านทางจดหมายอีเมลส่งถึงองค์การข่าวสารหลายแห่ง ว่าเป็นผู้กระทำการคราวนี้ ทว่าไม่มีใครรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับกลุ่มนี้เลย “เดคคัน”นั้นเป็นพื้นที่แขตหนึ่งในอินเดีย ส่วน “มูจาฮีดีน” เป็นรูปพหุพจน์ของชาวมุสลิมที่กำลังเข้าร่วมในการทำจีฮัด (สงครามศาสนา) พวกเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงเชื่อว่า เป็นไปไม่ได้หรอกที่กลุ่มซึ่งไม่มีใครรู้จักกลุ่มนี้จะสามารถเปิดการโจมตีที่ใช้อาวุธหนักและกระทำอย่างละเอียดเฉียบขาดถึงขนาดนี้

มีความเป็นไปได้มากกว่าที่จะเป็นผลงานของ อินเดียน มูจาฮีดีน (Indian Mujahideen) กลุ่มอิสลามิสต์ที่ประกาศอ้างตัวเป็นผู้ปฏิบัติการโจมตีครั้งอื่นๆ อีกหลายครั้งในอินเดียมาก่อนหน้านี้ เมื่อเช้าวันพฤหัสบดี(27) ชายผู้หนึ่งที่ระบุนามตัวเองว่าชื่อ ซาฮาดุลเลาะห์ ได้พูดกับ อินเดียทีวี ผ่านทางโทรศัพท์ จากภายในโรงแรมโอเบอรอยซึ่งยังมีชาวต่างชาติกำลังถูกจับเป็นตัวประกันอยู่หลายคน ว่าเขาเป็นสมาชิกของกลุ่มอิสลามิสต์ชาวอินเดียกลุ่มหนึ่ง ซึ่งต้องการให้ยุติการฟ้องร้องเล่นงานชาวมุสลิมอินเดีย “เราต้องการให้นักรบมูจาฮีดีนทั้งหมดที่ถูกจับกุมกักขังอยู่ในอินเดียได้รับการปล่อยตัว หลังจากนั้นแล้วเราจึงจะปล่อยคนเหล่านี้(ที่ถูกพวกเขาจับเป็นตัวประกัน)”

ยังไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าพวกผู้ก่อการร้ายเหล่านี้เข้ามาในเมืองได้อย่างไร ทฤษฎีหนึ่งบอกว่าพวกเขาเข้ามาทางทะเลโดยใช้เรือที่บรรทุกระเบิดมาด้วยจำนวนมาก ทว่าไม่มีใครสงสัยเลยว่าคนเหล่านี้ต้องการทำอะไรบ้าง

ริตา, โธมัส, และเจสเปอร์ ซึ่งคนหลังสุดนี้เป็นเจ้าของบริษัทเดินเรือทะเลแห่งหนึ่งจากเดนมาร์ก ล้มตัวลงกองกับพื้นเช่นเดียวผู้ไปรับประทานอาหารคนอื่นๆที่ร้านลีโอโปลด์ บางคนซ้อนก่ายอยู่บนตัวคนอื่นๆ “เราคิดว่าถ้าเรานอนลงและไม่กระดุกกระดิก มือปืนคนนั้นจะคิดว่าเราตายแล้ว” เป็นคำอธิบายของ ริตา แอร์โฮสเตสผมสีบลอนด์ของสายการบินลุฟต์ฮันซาผู้ปฏิบัติงานอยู่ในเที่ยวบิน 764 ที่บินระหว่างมุมไบกับมิวนิก

ขณะที่ฆาตกรถือปืนกลผู้นั้นวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบนเพื่อสมทบกับเพื่อนคนร้ายของเขา ชาวตะวันตกทั้งสามคนนี้ก็พากันวิ่งหนีออกมาสู่ท้องถนนที่อยู่ในบรรยากาศอันตื่นตระหนกเรียบร้อยแล้ว พวกเขาต้องวิ่งข้ามศพๆ หนึ่ง และทิ้งกระเป๋าข้าวของ, เงินทอง, โทรศัพท์มือถือ, ตลอดจนใบเสร็จค่าดินเนอร์ที่ยังไม่ทันชำระเอาไว้เบื้องหลัง ทว่าคืนสุดสยองสำหรับริตาและเพื่อนๆ ของเธอยังกำลังเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เฉกเช่นเดียวกับชาวเมือง 13 ล้านคนของมุมไบ ซึ่งไม่ใช่ว่าไม่คุ้นเคยกับการโจมตีของพวกผู้ก่อการร้าย เพียงแต่มันไม่เคยเป็นความน่ากลัวขวัญผวาที่ยืดเยื้อยาวนานกันถึงขนาดนี้

ปรากฏว่าคนทั้งสามพักอยู่ที่โรงแรมโอเบอรอย ในย่านนาริมานพอยต์ จึงกลายเป็นเหยื่อเคราะห์ร้ายน้อยรายนักที่ต้องไปติดอยู่ในพื้นที่ถึง 2 จุดในมุมไบที่ถูกพวกผู้ก่อการร้ายสิบกว่าคนปฏิบัติการโจมตีอย่างอุกอาจในคืนนั้น เฮแมนต์ คาร์คาเร หัวหน้าหน่วยตำรวจต่อต้านการก่อการร้ายของนคร เป็น 1 ใน 3 นายตำรวจอาวุโสที่ถูกสังหาร ขณะที่ทางตำรวจออกปฏิบัติการตอบโต้พวกผู้ก่อการร้ายที่จับตัวประกันเอาไว้ทั้งที่โรงแรมโอเบอรอย และโรงแรมทัชมาฮาล

เวลาประมาณ 22.30 น. ที่บริเวณด้านนอกโรงแรมโอเบอรอย ที่อยู่ริมทะเลอาหรับโดยมีถนนมารีนไดรฟ์คั่นอยู่ รอบๆ ข้างดูเงียบสงัดจนผิดธรรมดา ถนนสายต่างๆ ดูมืดและร้างว่างรถรา ช่างตรงกันข้ามกับความพลุกพล่านจอแจของช่วงเวลาทำงานตอนกลางวันในย่านธุรกิจอันยุ่งเหยิงที่สุดและพื้นที่สำนักงานที่มีราคาแพงที่สุดแห่งหนึ่งของนครแห่งนี้

ผมไปถึงโอเบอรอยเพียงไม่กี่นาทีหลังจากเห็นรายงานข่าวด่วนทางทีวี แม้ว่ายังมีพวกมือปืนหลบซ่อนอยู่ข้างในโรงแรม และตำรวจกำลังตั้งแนวรายล้อมรอบๆ อาคารทาสีขาวแห่งนี้ ผมหวนนึกถึงโรงแรมแมริออตต์ ในกรุงอิสลามาบัด ซึ่งพวกผู้ก่อการร้ายเข้าโจมตีในวันที่ 20 กันยายน โดยมีการจุดไฟเผาด้วย โอเบอรอย และ ทัช จะประสบชะตากรรมอันหายนะทำนองเดียวกันหรือเปล่าหนอ? ไม่มีใครสักคนที่อยู่ใกล้ๆ รวมทั้งตำรวจด้วย ที่มีไอเดียอันชัดเจนสักหน่อยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ยกเว้นแต่มีการยิงปืนหลายนัดมาก และมีการระเบิดอยู่หลายๆ ครั้ง

ผู้ผ่านไปมากลุ่มเล็กๆ เข้าร่วมกับพนักงานโรงแรมที่กำลังหนีกันออกมา คอยเฝ้าจับตาดูเหตุการณ์ขณะที่เวลาของโมงยามอันดึกดื่นคืบคลานไปเรื่อยๆ มีเสียงยิงปืนและเสียงระเบิดให้ได้ยินเป็นพักๆ จากโรงแรมทัชมาฮาลซึ่งอยู่ไกลออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร แขกของโรงแรมโอเบอรอยทยอยวิ่งออกมาอยู่เป็นระยะๆ คอยหมอบราบกับพื้น และได้รับการคุ้มกันจากพวกตำรวจซึ่งถืออาวุธที่ค่อนข้างย่ำแย่ สุนิล (ขอใช้ชี่อสมมุติตามคำขอร้องของเจ้าตัว) ตำรวจหน่วยคอมมานโดปฏิบัติการพิเศษ ที่กำลังอยู่ใกล้ๆ แถวนั้น เล่าว่าเขาได้ยินเสียงระเบิดตูมแรกที่บริเวณด้านนอกของโอเบอรอย

ในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องวัตถุระเบิด สุนิลบอกว่าเขาประมาณการจากเสียงได้ว่ามันน่าจะเกิดจากวัตถุระเบิดคุณภาพต่ำปริมาณราว 10 กิโลกรัม ซึ่งสามารถบรรจุไว้ในเครื่องดับเพลิงและจุดชนวนด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือ

แต่สำหรับเสียงระเบิดครั้งต่อๆ มานั้นเป็นการโจมตีด้วยระเบิดมือ อันเป็นระลอกแรกของอีกหลายๆ ระลอกทั่วทั้งเมืองมุมไบ “การระเบิดที่เกิดขึ้นครั้งที่ตึกแอร์อินเดียถูกโจมตีในปี 1993 นั้น เสียงตูมดังกึกก้องมากจนกระทั่งพื้นดินสั่นสะเทือนทีเดียว” สุนิลเล่าย้อนความหลัง “แรกสุดคุณรู้สึกว่าตัวตึกเกิดการสั่น จากนั้นคุณก็ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว”

ถึงตรงนี้ก็มีพวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้ามาขอร้องให้พวกเราย้ายออกจากไปบริเวณดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากผมกำลังสวมเสื้อเชิร์ตสีขาว ซึ่งอาจตกเป็นเป้านิ่งรับกระสุนในยามค่ำคืนได้ง่ายๆ

สำหรับสุนิลแล้ว มันเป็นความรู้สึกแบบเหมือนกับต้องย้อนรอยไปเผชิญกับเรื่องโหดๆ กันอีกคำรบหนึ่ง ตัวเขาก็เหมือนกับผมที่เคยวิ่งออกมายังท้องถนนในย่านเชิร์ชเกต เมื่อตอนเที่ยงวันของวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 1993 และได้เห็นเศษกระจกชิ้นเล็กชิ้นน้อยแตกกระจายครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างขวางยิ่ง ท่ามกลางศพของผู้เสียชีวิต และคนเจ็บที่กำลังหลั่งเลือดอยู่รอบๆ อาคารแอร์อินเดีย ซึ่งอยู่ห่างเพียงแค่ขว้างก้อนหินจากโอเบอรอย ในเหตุการณ์คราวโน้น การระเบิดเป็นระลอกรวม 13 ครั้งได้สังหารผู้คนไปถึง 250 คน และบาดเจ็บอีก 700 คน แล้วอีก 15 ปีต่อมา มุมไบกกำลังตกเป็นเหยื่อการโจมตีเล่นงานกันเป็นชุดของพวกผู้ก่อการร้ายอีกครั้งหนึ่ง โดยที่ในช่วงเวลาคั่นกลางระหว่างเหตุร้ายครั้งใหญ่ทั้งสองครา นครแห่งนี้ก็ถูกโจมตีด้วยระเบิดขนาดย่อมๆ ลงมาอีกหลายครั้ง ทว่ามุมไมไม่เคยเห็นอะไรที่เป็นการเข่นฆ่านองเลือดขนาดเมื่อคืนวันพุธ(26)นี้เลย พูดกันอย่างใสๆ และง่ายๆ มันคือการทำสงครามกลางเมืองใหญ่โดยแท้

ตั้งแต่ปี 1993 เป็นต้นมา มุมไบได้ถูกโจมตีมาแล้ว 6 ครั้ง การโจมตีขนาดใหญ่ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในปี 2006 เมื่อมีผู้ถูกฆ่าตายถึง 200 คนในการโจมตีเป็นชุดต่อระบบรถไฟที่เดินระหว่างตัวเมืองกับชานเมือง

“ที่นี่เป็นพื้นที่ความเสี่ยงสูง” สุนิลบอก “มันอาจจะเป็นการระเบิดออกมาเสียทีหลังจากที่เลื่อนช้ามานานก็ได้” การคาดการณ์ของเขาปรากฏว่าถูกต้อง ภายในเวลา 30 นาที ด้วยเสียงปืนและเสียงระเบิดกัมปนาท ก็ได้เปลี่ยนมุมไบให้กลายเป็นแบกแดดไปเลย

ผู้จัดการฝ่ายจัดเลี้ยงของโอเบอรอยซึ่งแต่งกายในชุดสูทสีดำ กำลังยืนอยู่ท่ามกลางความมืด บริเวณใกล้ๆ ตรอกร้างผู้คนตรงข้ามกับตัวโรงแรมที่ภายนอกดูเงียบเชียบ เขามองขึ้นไปยังหน้าต่างห้องพักโรงแรมที่แทบไม่มีห้องไหนเปิดไฟให้เห็นเลย โรงแรมของเขาจะต้องว่างเปล่าแทบไม่มีแขกเลยเมื่อถึงตอนเช้าวันรุ่งขึ้น

บรรยากาศแห่งความเงียบเชียบที่เหมือนกับนิ่งงันจนเกินจริง ถูกทำลายอยู่เป็นระยะๆ จากเสียงฝีเท้าของผู้คนที่รีบวิ่งหนีออกมาจากโรงแรม หรือจากพวกตำรวจที่หมอบอยู่ตรงตำแหน่งซุ่มยิงใกล้ๆ อาณาบริเวณของโรงแรม หรือไม่ก็เป็นเสียงร้องเตือนพวกที่คอยมุงดูให้ถอยออกไป “โชคดีที่คืนนี้เรามีงานเลี้ยงเพียงงานเดียว ในห้องอาหารห้องหนึ่งจากทั้งหมด 9 ห้องที่เรามีอยู่” ผู้จัดการฝ่ายจัดเลี้ยงผู้นั้นเอ่ยขึ้น “ไม่อย่างนั้นแล้ว คนเจ็บคนตายคงต้องสูงกว่านี้” เขาบอกว่าห้องพักโรงแรมมีแขกเข้าพักประมาณ 45%

“มีมือปืนสองคนใส่หน้ากากปิดหน้าอาวุธเพียบ คอยจ้องยิงใส่คนอยู่เป็นพักๆ จากตรงทางลาดของห้องโถง” เสียงของผู้จัดการศูนย์ช็อปปิ้งของโอเบอรอยที่กำลังยืนอยู่ใกล้ๆ รายงานต่อผู้อาวุโสกว่าคนหนึ่งผ่านทางโทรศัพท์มือถือ “ห้องกันดาฮาร์ [ห้องอาหาร] เสียหายมากครับท่าน แต่ยังไม่มีข่าวเรื่องคนบาดเจ็บล้มตาย” แบบแผนการปฏิบัติการของพวกคนร้ายดูจะปรากฏให้เห็นแล้ว มือปืนซึ่งจัดกันเป็นทีมๆ ละ 2 คน แยกย้ายกระจายตัวไปทั่วเมืองมุมไบ คอยกราดยิงเข้าใส่ฝูงชนเป็นพักๆ ตลอดจนควักระเบิดมือจากเป้หลังออกมาโยนใส่ผู้คน

เป้าหมายส่วนใหญ่มุ่งไปยังพวกสถานที่ซึ่งนักท่องเที่ยวชอบไปกัน รวมทั้งสถานีรถไฟและโรงพยาบาล มีรายงานออกมาด้วยว่าพวกผู้ก่อการร้ายมุ่งมองหาพวกแขกชาวอเมริกันและชาวอังกฤษที่พักอยู่ในโอเบอรอยและทัชมาฮาล ซึ่งต่างก็เป็นโรงแรมระดับหรูหราและเลื่องชื่อกันทั้งคู่ โดยที่ฟอร์บส์กับ คอนด์ แนสต์ ต่างจัดอันดับให้อยู่ในกลุ่มของโรงแรมสำหรับนักธุรกิจที่ดีที่สุดในโลก พิจารณาในแง่หนึ่งได้ว่า สิ่งที่กำลังถูกคนร้ายเล่นงานโจมตี ก็คือ มุมไบและเศรษฐกิจของอินเดียนั่นเอง

หนุ่มพนักงานฝึกงานแผนกอาหารและเครื่องดื่มผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังทำงานให้บริการอยู่ในงานปาร์ตี้บริเวณดาดฟ้าของโอเบอรอย เพิ่งหลบหนีออกมาที่ถนน และยังกำลังหอบหายใจอยู่เลย เขารายงานว่าเห็นแขกชาวญี่ปุ่นผู้หนึ่งถูกยิงที่สะโพก “แขกอีกคนหนึ่งบอกว่าเขาเห็นชายผู้หนึ่งถูกยิงจนตายต่อหน้าต่อตาของเขาเลย” หนุ่มผู้นี้เล่า “เราได้ยินว่ามีการระเบิดในมาซะกอน ด็อกส์ เราอาศัยอยู่ใกล้ๆ แถวนั้น ก็เลยจะต้องรีบไป”

เมื่อถึงเวลา 23.30 น. ผมได้พบกับโธมัส, ริตา, และเจสเปอร์ บริเวณใกล้ๆ อาคารแอร์อินเดีย ด้านที่หันสู่ทะเลอาหรับ ถนนมารีน ไดรฟ์เปลี่ยนสภาพเหมือนเป็นฉากอยู่ในภาพยนตร์เกี่ยวกับภัยพิบัติของฮอลลีวู้ด มีทั้งรถพยาบาล, รถตำรวจ, รถถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม, รถบรรทุกทหารติดอาวุธเพียบ ต่างกำลังแล่นครวญครางเข้ามาในพื้นที่ดังกล่าว ขณะที่พวกผู้สื่อข่าวก็กำลังตะโกนลั่นรายงานข่าวเข้าไปที่โทรศัพท์มือถือของพวกเขา โธมัสกับริตากำลังพยายามอย่างสุดฤทธิ์เพื่อติดต่อกับลูกเรืออีก 3 คนที่ขาดการติดต่อไป ยังไม่แน่ใจว่าพวกเขาต่างหลบหนีออกจากจากลีโอโปลด์ คาเฟ่ ได้อย่างปลอดภัยหรือไม่

พวกทหารกำลังเคลื่อนเข้าไปในโอเบอรอย มีเสียงบึ้มของลูกระเบิด 7 ลูกดังสั่นสะท้อนจากโรงแรมทัชมาฮาล ซึ่งเป็นโรงแรมระดับห้าดาวแห่งแรกของอินเดีย โดยที่ตัวโดมหันหน้าหาทะเลซึ่งมีชื่อเสียงมากของโรงแรมแห่งนี้กำลังเกิดไฟไหม้ เหมือนกับแขกของโรงแรมคนอื่นๆ คณะลูกเรือลุฟต์ฮันซาต่างเคว้งคว้างอยู่ด้านนอกโรงแรมตลอดทั้งคืน เจสเปอร์ผู้เป็นเจ้าของบริษัทเดินเรือทะเล เคยมีประสบการณ์เจอลูกกระสุนบินเฉียดผ่านใกล้ๆ ศีรษะตอนที่เขาไปเป็นทหารในกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในยูโกสลาเวียเมื่อ 13 ปีที่แล้ว

“เราติดแหง็กอยู่ในแนวยิงต่อสู้กันระหว่างพวกบอสเนียกับพวกเซิร์ฟ” แจสเปอร์ย้อนความหลัง “แต่คืนนี้ยังน่าสยดสยอมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะผมไม่มีปืนไว้ป้องกันตัวเองเลย ทหารยิงปืนเข้าใส่ทหารในสงคราม เป็นเรื่องเข้าใจง่ายกว่าพลเรือนยิงเข้าใส่พลเรือนคนอื่นๆ” “นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ดิฉันมาเที่ยวมุมไบและดิฉันก็รู้สึกชอบเมืองนี้” ริตาบอก เธอเกือบต้องเสียชีวิตในลีโอโปลด์ คาเฟ่ และรอดจากการถูกสังหารมาได้อีกครั้งที่โอเบอรอย ในคืนแห่งการก่อการร้ายซึ่งเธอและชาวมุมไบจะไม่มีวันลืม “แต่ดิฉันก็ไม่ต้องการกลับมาที่นี่อีกนะ”

ในที่สุดลุฟต์ฮันซาก็มารับริตา, โธมัส, และเจสเปอร์ไปในตอนเช้า และย้ายพวกเขาไปอยู่ที่ ไฮแอตต์ เรซิเดนซี ซึ่งอยู่ใกล้ๆ สนามบิน คาดหมายกันว่าเที่ยวบินต่างๆ ที่ออกจากมุมไบจะเต็มหมดไปตลอดวันพฤหัสบดี(27) ทว่าเท่าที่ปรากฏจวบจนถึงเวลานี้มุมไบปฏิเสธไม่ยอมกระทำตามคำแนะนำของมุขมนตรี วิลาสราว เดชมุคค์ ที่ให้อยู่กันแต่ภายในบ้าน คาดหมายกันด้วยว่าคนออกมาทำงานคงจะลดน้อยลง ทว่าขบวนรถไฟที่มาจากนอกเมืองยังคงวิ่งกันต่อไป และเมืองแห่งนี้ก็กำลังพยายามที่จะออกมาทำงานเช่นกัน สำหรับมุมไบที่เคยชินกับการปลงตก แม้จะถูกผู้ก่อการร้ายเล่นงานอยู่หมาดๆ แต่งานและชีวิตก็ยังจะต้องดำเนินกันต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น