เอเอฟพี - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ (3) ลงมติเห็นชอบร่างกฎหมายแผนช่วยเหลือวอลล์สตรีทมูลค่า 7แสนล้านดอลลาร์ฉบับแก้ไข เพื่อหลีกเลี่ยงความล่มสลายของเศรษฐกิจโลก
สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจุดชนวนความยุ่งเหยิงในตลาดและการเมือง ด้วยการล้มแผนปล่อยกู้เดิมเมื่อวันจันทร์ (29) ด้วยคะแนน228 ต่อ 205 เสียง ในวันศุกร์ (3) ได้ลงมติ 263 ต่อ 171 เห็นชอบการเข้าแทรกแซงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดของรัฐบาลสหรัฐฯ นับตั้งแต่เหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในยุค 1930
บรรดาผู้นำสภาคองเกรสร่วมมือกันในการขอเสียงสนับสนุนจากสมาชิกรีพับลิกันและเดโมแครตให้ได้มากขึ้น ท่ามกลางสัญญาณว่าธุรกิจต่างๆ กำลังได้รับผลกระทบจากความล้มเหลวของตลาดสินเชื่อ ซึ่งมีต้นชนวนมาจากวิกฤตจำนองของผู้กู้ใช้หลักทรัพย์ที่ด้อยคุณภาพ
ส.ส.เดโมแครต 3 ราย กล่าวก่อนหน้านี้ว่า พวกเขาจะย้ายฝั่งการโหวต ขณะที่หลายคนเปิดเผยว่าเสียงเรียกร้องจาก บารัค โอบามา ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจของพวกเขา นอกจากนี้แหล่งข่าวรัฐสภายังระบุว่ามี ส.ส.เดโมแครตอีก 4 คนที่สลับข้างการลงมติเช่นกัน
ราห์ม เอมานูเอล แกนนำระดับอาวุโสจากพรรคเดโมแครต กล่าวสนับสนุนร่างกฎหมายนี้ในสภาว่า "นี่เป็นเพียงย่างก้าวแรก เราเพิ่มความสมดุลให้กับธนาคาร ก้าวต่อไปคือควรต้องเสริมสมุดเช็กให้กับครอบครัวชนชั้นกลางที่เผชิญปัญหาด้วย"
วุฒิสมาชิกผ่านแผนกอบกู้เศรษฐกิจฉบับแก้ไขเมื่อวันพุธ (1) ด้วยคะแนน 74-25 เสียง โดยที่เนื้อหาในฉบับแก้ไขใหม่นั้นรวมไปถึงเพิ่มเพดานเงินฝากที่รัฐค้ำประกันและผลักดันให้ผู้เสียภาษีได้ประโยชน์ เพื่อดึงสมาชิกรีพับลิกันมาสนับสนุนร่างกฎหมายนี้มากขึ้น
ผู้แทนของเดโมแครตจากแมรีแลนด์ ดอนนา เอ็ดเวิร์ดส์ และเอลิจาห์ คัมมิงส์ กล่าวว่า พวกเขาได้รับโทรศัพท์จากโอบามา หลังจากโหวตต้านร่างกฎหมายฉบับดั้งเดิม "มันมีความหมายมากสำหรับดิฉันที่ผู้กำลังลุ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไปสละเวลาโทรมาหาด้วย" คัมมิงส์ กล่าว
ขณะที่เอ็ดเวิร์ดส์ เปิดเผยว่า โอบามาติดต่อเธอในช่วงเช้าวันพฤหัสบดี (2) ขณะที่เธอกำลังพิจารณาว่าจะโหวตอย่างไรในวันศุกร์ (3) "การสนทนาระหว่างฉันกับโอบามา ในช่วงเช้าวันพฤหัสบดีเป็นไปด้วยดี และฉันชั่งน้ำหนักตลอดทั้งวันก่อนตัดสินใจเช่นนี้"
สำหรับร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่ได้รับการแก้ไขแล้วนี้ได้เพิ่มเพดานเงินฝากที่รัฐค้ำประกัน จาก 100,000 ดอลลาร์เป็น 250,000 ดอลลาร์ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้ความมั่นใจแก่ผู้ฝากเงินว่า เงินของพวกเขาจะปลอดภัยในธนาคารเหล่านั้น และหลีกเลี่ยงการถอนเงินก้อนใหญ่
อย่างไรก็ตามหลักการใหญ่ๆ ของร่างกฎหมายนี้ยังคงเดิม นั่นคือ การให้กระทรวงการคลังระดมเงินกู้มารับซื้อสินทรัพย์ซึ่งเกี่ยวพันกับสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่กำลังอยู่ในสภาพเน่าเสียจากบรรดาแบงก์และสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อให้แบงก์เหล่านี้ “สะอาด” และมีความไว้วางใจซึ่งกันและกันจนกล้าที่จะปล่อยกู้ให้แก่กัน ซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินกลับมีเสถียรภาพ และสามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางหล่อลื่นระบบเศรษฐกิจได้ตามปกติ