เอเจนซี - รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เฮนรี พอลสันกำลังพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้รัฐสภาอนุมัติแผนการกอบกู้ภาคการเงินของประเทศมูลค่า 700,000 ล้านดอลลาร์ หลังจากถูกคว่ำในสภาผู้แทนราษฎร
ส่วนประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชก็ออกมาให้คำมั่นว่า จะผลักดันให้กฏหมายคลอดออกมาให้ได้ เพื่อแก้ไขวิกฤตในตลาดการเงินที่ลุกลามไปยังต่างประเทศอย่างรวดเร็ว รวมทั้งออกมาเตือนด้วยว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นหากรัฐสภาไม่อนุมัติกฏหมายให้ทันท่วงทีจะ "เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและดำเนินไปเนิ่นนาน"
ในวันที่ 4 พฤศจิกายนนี้นอกจากเลือกตั้งประธานาธิบดีแล้ว ก็จะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกันใหม่หมดอีกด้วย ทำให้ ส.ส.ทั้งจากเดโมแครตและรีพับลิกันต่างแข่งกันลงมติต่อต้านกฏหมายฟื้นฟูภาคการเงิน หลังจากได้รับอีเมล์และโทรศัพท์มาจากประชาชนในเขตเลือกตั้งของตนเองแสดงความโกรธเกรี้ยวที่รัฐบาลเอาเงินผู้เสียภาษีไปอุ้มวอลล์สตรีท
สถานการณ์ตอนนี้ก็คือ แต่ละฝ่ายก็คาดเดากันไปต่างๆ ว่า รัฐบาลบุชและรัฐสภาน่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปเพื่อให้ร่างกฎหมายช่วยชีวิตภาคการเงินฉบับนี้มีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ก็ยังคาดกันไปถึงมาตรการทางเลือกอื่นๆ ที่กระทรวงการคลัง,ธนาคารกลาง และหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ อาจจะหยิบมาใช้เพื่อสยบความปั่นป่วนในตลาดหากว่ารัฐสภายังไม่ผ่านแผนการนี้ แนวคิดต่างๆ ดังกล่าวนี้มีรายละเอียดดังนี้
**ทำให้รัฐสภาอนุมัติเม็ดเงินซื้อสินทรัพย์มูลค่า 700,000 ล้านออกมาให้ได้**
--พวกผู้นำของวุฒิสภาที่สนับสนุนแผนฟื้นฟูดังกล่าว ผลักดันให้สภาสูงพิจารณาอนุมัติร่างกฎหมายนี้กันในวันพุธ (1) เมื่อบรรดาสมาชิกเดินทางกลับมาจากการเฉลิมฉลองประเพณีปีใหม่ของชาวยิว หากกฏหมายผ่านวุฒิสภาได้ ก็จะส่งแรงกดดันให้กับสภาล่างซึ่งจะกลับมาประชุมกันอีกครั้งในวันพฤหัสบดี (2)
--กระทรวงการคลังอาจจะปรับเปลี่ยนแผนการที่มีอยู่ เพื่อดึงดูดให้สมาชิกรัฐสภาพรรคใดพรรคหนึ่งเข้ามาสนับสนุนกันมากขึ้น และเนื่องจากอยากได้ชื่อว่าเป็นร่างกฎหมายที่สองพรรคต่างสนับสนุน จึงต้องมุ่งไปที่รีพับลิกันให้มายกมืออนุมัติกันให้มากขึ้น แม้ว่าเวลานี้รีพับลิกันจะเป็นฝ่ายเสียงข้างน้อย แต่ ส.ส.พรรคนี้ถึง 2 ใน 3 ทีเดียวที่คัดค้านร่างกฎหมายนี้เมื่อวันจันทร์ ที่ปรึกษาระดับท็อปคนหนึ่งของทำเนียบข่าวกล่าวเมื่อวันอังคารว่า รัฐบาลหวังว่าการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาเล็กๆ น้อยๆ อาจจะทำให้ได้เสียงสนับสนุนพอจนผ่านสภาได้
--สมาชิกรัฐสภาอาจจะทิ้งสาระสำคัญในแผนซึ่งพอลสันร่างขึ้น ที่เน้นการใช้เม็ดเงินจากรัฐบาลกลางเข้าไปซื้อสินทรัพย์เน่า และหันไปสนับสนุนแนวทางที่สมาชิกรีพับลิกันหลายคนเสนอ ซึ่งให้ใช้เงินของภาคเอกชนเข้าประกันภัยสินเชื่อที่อยู่อาศัย แต่ว่าหนทางนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้ บารัค โอบามา ตัวแทนชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครตบอกว่า การเริ่มต้นจากศูนย์นั้นจะไม่ประสบความสำเร็จใดๆ เลย นอกจากนั้นฝ่ายรัฐบาลก็ส่งสัญญาณแน่ชัดว่าจะต่อต้านแผนการที่หวังพึ่งเพียงการประกันภัยสินเชื่อที่อยู่อาศัยอย่างเดียว
--โอบามา และจอห์น แมคเคน คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน ต่างก็เสนอให้เพิ่มความคุ้มครองบัญชีเงินฝากในธนาคาร จากไม่เกินบัญชีละ 100,000 ดอลลาร์ มาเป็น 250,000 ดอลลาร์ อันจะเป็นหนทางดึงดูดให้สมาชิกพรรรคทั้งสองหันกลับมาหนุนกฏหมายช่วยชีวิตภาคการเงินมากขึ้น โอบามากล่าวว่า หากเพิ่มจำนวนเงินที่คุ้มครองได้ก็จะช่วยธุรกิจขนาดเล็กได้ รวมทั้งจะสามารถกอบกู้เอาความเชื่อมั่นในระบบการเงินให้กลับคืนมา ทางด้านบรรษัทรับประกันเงินฝากสหรัฐฯเอง ก็ได้เสนอให้เพิ่มวงเงินที่จะคุ้มครองให้สูงขึ้นเหมือนกัน
--สมาชิกพรรครีพับลิกันบางรายเรียกร้องให้กำหนดในร่างกฏหมายนี้ด้วยว่า ให้ยกเลิกการจัดทำบัญชีแบบ "mark-to-the-market" หรือ การคิดมูลค่าของสินทรัพย์ตามราคาตลาด ณ เวลานั้น อันเป็นเหตุให้สถาบันการเงินต่างๆ ต้องตัดยอดขาดทุนจากสินทรัพย์ที่มีอยู่โดยใช้ราคาตลาดเป็นมาตรฐาน แม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตั้งราคาเพื่อขายก็ตาม นอกจากนี้การตัดยอดขาดทุน "ในกระดาษ" ดังกล่าว ยังทำให้เงินกองทุนสำรองของธนาคารอาจจะดูยอบแยบไม่พอเพียง ดังนั้น ก็อาจทำให้แบงก์ทั้งหลายกักตุนเงินสดไว้ไม่ยอมปล่อยกู้แก่คนอื่น
--อาจมีการแก้ไขเนื้อความบางประการที่จะดึงให้พวกรีพับลิกันหัวไม่รุนแรงบางคนเปลี่ยนข้างได้ หลังจากเห็นชัดเจนว่าประชาชนในเขตเลือกตั้งของพวกเขาได้ประโยชน์บางประการจากร่างกฏหมายฉบับนี้ เช่น รัฐบาลน่าจะพยายามเจรจากับบรรดาสมาชิกของคณะกรรมาธิการบริการการเงินของสภาผู้แทนราษฎรเพราะพวกเขามีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับวอลสตรีทอยู่แล้ว รวมทั้งสส.รีพับลิกันจากเขตที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำ อย่างเช่น ฟลอริด้าใต้,แคลิฟอร์เนีย และภาคตะวันตกเฉียงใต้
**ทางเลือกสำหรับเฟด กระทรวงการคลัง และหน่วยกำกับดูแลอื่นๆ หากว่าร่างกฏหมายนี้ยังคงแท้งในสภา**
--เฟดอาจจะลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอีกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้พ้นจากภาวะถดถอยในการประชุมครั้งหน้าที่กำหนดไว้ระหว่างวันที่ 28-29 ตุลาคมนี้ ที่จริงเฟดสามารถที่จะประกาศการลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉินก่อนการประชุมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการเคลื่อนไหวโดยพร้อมเพรียงกับธนาคารกลางของประเทศอื่น ๆ อย่างไรก็ตามสมาชิกรัฐสภาหลายคนก็ยังวิตกในเรื่องอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมชั่วข้ามคืนก็ต่ำมากที่ 2% แล้ว ดังนั้นเฟดอาจจะไม่สามารถลดอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีกได้ นอกจากนี้ธนาคารที่เต็มไปด้วยสินทรัพย์เน่าก็ยังคงไม่อยากปล่อยเงินกู้อยู่ดี แม้อัตราดอกเบี้ยจะลดลงก็ตาม
--เฟดยังคงอัดฉีดเงินเข้าสู่ตลาดสินเชื่อต่อไป เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เฟดก็ได้เพิ่มเงินกู้ที่ผ่านช่องทางการประมูลให้เป็น 300,000 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งได้เปิดช่องทางกู้ยืมขึ้นใหม่ที่มีเม็ดเงินราว 150,000 ล้านดอลลาร์เพื่อเตรียมไว้สำหรับช่วงสิ้นปี ส่วนช่องทางดิสเคาต์ก็มีการกู้ยืมเงินสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 187,750 ล้านดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 24 กันยายน ในขณะเดียวกันเฟดก็ได้จัดสรรเงิน 620,000 ล้านดอลลาร์ ให้แก่ธนาคารกลางในประเทศอื่น ๆด้วย
--กระทรวงการคลัง และบรรษัทรับประกันเงินฝากสหรัฐฯ ยังสามารถเข้ากู้ชีวิตหรือจัดแจงให้มีการควบรวบพวกสถาบันการเงินที่มีสถานะง่อนแง่นได้ โดยพิจารณาเป็นราย ๆไปเหมือนที่ใช้มาทุกครั้ง อย่างไรก็ตาม จนถึงบัดนี้วิธีการนี้ยังไม่อาจฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบการเงินให้กลับคืนมา
--กระทรวงการคลังสามารถเข้าไปลงทุนในบริษัทแฟนนี เม และเฟรดดี แมคและใช้ให้ทั้งสองสถาบันซื้อหนี้ที่เกี่ยวกับที่อยู่อาศัยที่มีปัญหาเข้ามา แนวคิดนี้เป็นสิ่งที่กระทรวงการคลังมองไว้แต่แรกแล้วเพราะเมื่อทั้งแฟนนี เม และเฟรดดี แมคถูกควบรวมเข้ามาเป็นของรัฐบาลใหม่ๆ กระทรวงได้ประกาศว่าบริษัททั้งสองอาจจะเข้าซื้อหลักทรัพย์ที่อิงกับสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นมูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์ในเบื้องต้นก่อน
--คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (เอสอีซี) อาจขยายเวลาห้ามทำชอร์ท เซลลิ่ง ของบริษัทการเงินมากกว่า 900 แห่ง ออกไปอีก โดยคำสั่งห้ามฉุกเฉินครั้งแรกจะหมดอายุในวันพฤหัสบดี (2) นี้ และสามารถขยายออกไปครั้งละไม่เกิน 30 วัน
--เอสอีซีอาจสั่งระงับการใช้หรือเปลี่ยนแปลงวิธีการลงบัญชีแบบ"mark-to-the-market" ซึ่งหลายฝ่ายบอกว่าเป็นต้นเหตุทำให้ราคาทรัพย์สินในบริษัทหนึ่ง ๆดิ่งลงในทางบัญชี เมื่อวันอังคาร เอสอีซีก็เพิ่งบอกให้บริษัทการเงินทั้งหลายไม่ต้องใช้ราคาขายหุ้นที่ถูกบีบให้ขายในราคาสุดถูก เข้ามาใช้ในการประเมินราคาสินทรัพย์ที่ยากที่จะประเมินในตอนนี้ และยังบอกอีกว่าหน่วยงานดูแลเรื่องการบัญชีของสหรัฐฯอาจจะประกาศคู่มือการประเมินมูลค่าที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมในปลายสัปดาห์นี้