วอชิงตันโพสต์ – ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้คุมกฎสหรัฐฯ มองว่าไวทอล กลุ่มกิจการพลังงานจากสวิส เป็นเพียงเทรดเดอร์ที่อำนวยความสะดวกให้แก่บริษัทที่ต้องการน้ำมันสำหรับการทำธุรกิจเท่านั้น
แต่เมื่อคณะกรรมการกำกับการซื้อขายอนุพันธ์ฟิวเจอร์สสินค้าโภคภัณฑ์ (ซีเอฟทีซี) ตรวจสอบบัญชีเดือนที่แล้วของไวทอล กลับพบว่าแท้จริงบริษัทแห่งนี้เป็นนักเก็งกำไรที่ถือสัญญาซื้อขายน้ำมันเป็นเครื่องมือการลงทุนเพื่อทำกำไรมากกว่าการส่งมอบเชื้อเพลิงจริงๆ
ที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือ ขนาดพอร์ตอันมหึมาของไวทอล โดย ณ จุดหนึ่งในเดือนกรกฎาคม บริษัทถือสัญญาน้ำมันถึง 11% ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมดในตลาดไนเม็กซ์
การค้นพบนี้เปิดเผยให้เห็นวิธีการที่บริษัทการเงินเข้าครอบงำตลาดน้ำมันโดยที่ผู้คุมกฎไม่ระแคะระคาย ข้อมูลอื่นๆ ของซีเอฟทีซียังแสดงให้เห็นว่า กิจกรรมการค้ามูลค่ามหาศาลอยู่ในมือของนักเก็งกำไรเพียงไม่กี่ราย
ซีเอฟทีซีที่ล่วงรู้พฤติกรรมที่แท้จริงของไวทอลจากการเรียกดูข้อมูลอย่างชนิดที่ไม่ได้ทำกันอยู่เป็นปกติ รายงานด้วยว่ามีบริษัทการเงินที่ทำการเก็งกำไรทั้งเพื่อลูกค้าหรือเพื่อตัวเอง ร่วมกันถือครองสัญญาน้ำมันถึง 81% ในตลาดไนเม็กซ์ มากกว่าที่ซีเอฟทีซีเคยรายงานหลายเท่า ตัวเลขนี้อาจเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์หน้าเมื่อซีเอฟทีซีตรวจสอบสถานะเทรดเดอร์ใหญ่รายอื่นๆ
สมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ บางคนกล่าวหาว่า บริษัทเหล่านี้อยู่เบื้องหลังการแกว่งตัวของราคาน้ำมัน รวมถึงการปั่นจนราคาน้ำมันพุ่งทำลายสถิติเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
“ตอนนี้มีหลักฐานแล้วว่านักเก็งกำไรในตลาดซื้อขายพลังงานล่วงหน้ามีบทบาทสำคัญมากกว่าที่เคยคิด ทำให้ทำใจยากขึ้นไปอีกที่จะยอมรับสมมติฐานอันน่าหัวเราะของซีเอฟทีซีที่ว่า การเก็งกำไรอย่างรุนแรงไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งทะยาน” จอห์น ดิงเกล ส.ส.เดโมเครต กล่าวประชด และยังสำทับว่า ตนไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดซีเอฟทีซีจึงปล่อยให้เทรดเดอร์รายหนึ่งซื้อสัญญาน้ำมันสำรองไว้มากมายขนาดนั้น โดยไม่มีการตรวจสอบก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ซีเอฟทีซีไม่ได้ระบุชื่อไวทอลในรายงานแต่อย่างใด เพียงแต่เปิดเผยปริมาณการถือครองของเทรดเดอร์รายหนึ่ง ซึ่งแหล่งข่าววงในสองคนที่รู้เรื่องนี้โดยตรงยืนยันว่าเป็นไวทอล
เอกสารของซีเอฟทีซี แสดงให้เห็นว่า ไวทอลเป็นหนึ่งในเทรดเดอร์น้ำมันที่มีกิจกรรมในไนเม็กซ์คึกคักที่สุดในช่วงที่ราคาน้ำมันทำลายสถิติ ตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ไวทอลซื้อสัญญาน้ำมันถึง 57.7 ล้านบาร์เรล หรือสามเท่าของปริมาณการบริโภคต่อวันในสหรัฐฯ โดยเก็งว่าราคาจะพุ่งขึ้น และวันนั้นราคาน้ำมันทะยานถึง 11 ดอลลาร์ปิดที่ 138.54 ดอลลาร์ และขึ้นสูงสุดไปอยู่ที่ 147.27 ดอลลาร์เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมก่อนที่จะลดลงมาอยู่ที่แถวๆ 114 ดอลลาร์ตอนสิ้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
เอกสารไม่ได้รายงานว่ามีการวางเงินดาวน์สัญญาซื้อขายเท่าใด แต่ตามกฎของไนเม็กซ์แล้ว ไวทอลสามารถที่จะกว้านซื้อสัญญามากมายขนาดนั้น โดยวางเงินดาวน์เพียง 1,000 ล้านดอลลาร์ แล้วที่เหลือก็ใช้วิธีการกู้ยืม
ผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในตลาดโภคภัณฑ์นั้น บ่อยครั้งคือพวกที่ทำตัวเป็น ‘สวอปดีลเลอร์’ (swap dealer) ซึ่งงานหลักคือการลงทุนแทนเฮดจ์ฟันด์ ผู้มั่งคั่ง และกองทุนบำนาญ โดยมุ่งทำให้นักลงทุนเหล่านี้พึงพอใจกับผลตอบแทน แต่ไม่ต้องเข้าไปซื้อขายสัญญาน้ำมันหรือสินค้าอื่นใดที่มีการส่งมอบกันจริงๆ แต่ก็มีดีลเลอร์บางรายเหมือนกัน ที่บริหารจัดการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ ให้กับพวกกิจการเชิงพาณิชย์จริงๆ
พอนานไปพฤติกรรมการเก็งกำไรก็ลุกลาม ดีลเลอร์สวอปบางรายอยู่หลังฉากการเล่นแร่แปรธาตุ โดยใช้อิทธิพลทางการเมืองและช่องว่างในการตรวจสอบ เพื่อหาจุดโหว่จากข้อจำกัดของกฎระเบียบ ตลอดจนวิ่งเต้นขออนุญาตจัดตั้งตลาดใหม่ที่การควบคุมยิ่งย่อหย่อนขึ้นมาเลย ทั้งนี้เทรดเดอร์รายใหญ่จำนวนมากไม่ได้เล่นในไนเม็กซ์เท่านั้น แต่ยังข้ามไปเล่นในตลาดเอกชนและตลาดต่างแดนนอกเหนือเขตอำนาจของซีเอฟทีซี เปิดโอกาสให้บริษัทเหล่านี้เกือบจะเข้าถึงการค้าสินค้าสำคัญ ซึ่งรวมถึงน้ำมัน ฝ้าย และข้าวโพดอย่างอิสระ
การใช้สวอปดีลเลอร์เป็นตัวกลาง ทำให้กองทุนการลงทุนกรูเข้าสู่ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์อย่างคึกคัก ด้วยมูลค่าการลงทุนถึง 269,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ จาก 13,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปี 2003 โดยที่ระหว่างช่วงเวลาเดียวกันนี้ ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นไม่หยุดมาทุกปี
ข้อมูลของซีเอฟทีซีแสดงให้เห็นว่า ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม มีสวอปดีลเลอร์เพียงสี่รายเท่านั้นที่ถือครองสัญญาน้ำมัน 1 ใน 3 ในตลาดไนเม็กซ์โดยเก็งว่าราคาจะพุ่งขึ้น นักวิเคราะห์ด้านพลังงานชี้ว่า ข้อมูลเหล่านี้เป็นหลักฐานยืนยันถึงการรวมศูนย์อำนาจในตลาด
ผู้นำในซีเอฟทีซี แย้งว่า นักเก็งกำไรไม่มีอิทธิพลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ แต่เป็นเพราะโครงสร้างของอุปสงค์และอุปทานมากกว่า และเสริมว่า หากมีข้อมูลใหม่ๆ ออกมาในระหว่างการตรวจสอบกิจกรรมของดีลเลอร์สวอป จะรายงานให้คองเกรสทราบโดยเร็ว