เอเจนซี - ราคาน้ำมันตกอีกเมื่อวันอังคาร (12) หลังข้อมูลรัฐบาลมะกันเผยดีมานด์น้ำมันดิบของสหรัฐฯ ลดลงต่ำสุดในรอบ 26 ปี ประกอบกับความกังวลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับการบริโภคน้ำมันน้อยลงของโลก
ดีมานด์น้ำมันของสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2008 ลดลงโดยเฉลี่ย 800,000 บาร์เรลต่อวันเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่ลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1982 รายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (อีไอเอ) เผย
รายงานของอีไอเอ มีขึ้นหลังจากเมื่อวันจันทร์ (11) ได้มีการเปิดเผยตัวเลขปริมาณนำเข้าน้ำมันดิบในเดือนกรกฎาคมของจีนชาติผู้บริโภครายใหญ่อันดับ 2 ของโลกลดลง 7 เปอร์เซ็นต์ สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน และเป็นปริมาณการลดลงต่อเดือนต่ำสุดตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2005 เป็นต้นมา สาเหตุเพราะราคาน้ำมันที่สูงขึ้นกดความต้องใช้ให้ลดลง
สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ ลดลง 85 เซนต์ อยู่ที่ 113.60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ณ เวลา 17.35 จีเอ็มที หลังจากดิ่งลงไปต่ำสุด 112.31 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม ขณะที่น้ำมันดิบเบรนต์ในลอนดอน ลดลง 77 เซนต์ อยู่ที่ 111.90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ปัญหาทางเศรษฐกิจที่กระจายอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้น้ำมันดิบทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 147 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ขณะที่ดีมานด์น้ำมันในสหรัฐฯ และประเทศพัฒนาอื่นๆ สะดุดลง
“รายงานของอีไอเอนับว่าเป็นดีมานด์น้ำมันช่วงครึ่งปีที่ต่ำสุดในรอบ 26 ปี” ไคล์ คูเปอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัทที่ปรึกษาไอเอเอฟกล่าว “แต่ 113 ดอลลาร์ยังไม่ใช่ราคาต่ำสุด”
ภาพดีมานด์น้ำมันที่มืดมนมีน้ำหนักมากกว่าความกังวลเกี่ยวกับซัปฟลายจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างจอร์เจียและรัสเซีย พร้อมกันนั้นสถานการณ์ในวันอังคาร ประธานาธิบดี เมดเวเดฟ ของมอสโก ยังได้สั่งยุติปฏิบัติการทางทหารในจอร์เจีย แม้ว่าจอร์เจียยังแสดงความคลางแคลงใจอยู่ก็ตาม
บีพีซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ของยุโรป ได้ปิดท่อลำเลียงน้ำมันและท่อลำเลียงก๊าซธรรมชาติ จากทะเลแคสเปียนผ่านจอร์เจีย แต่ไม่มีท่อลำเลียงใดเสียหายจากการสู้รบครั้งนี้
