xs
xsm
sm
md
lg

“การเมืองแบบก่อวิกฤต” ใน “มาเลเซีย” ที่กำลังเกิดการแตกขั้ว

เผยแพร่:   โดย: อะนิล เนตโต

(จากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

Brinksmanship in polarized Malaysia
By Anil Netto
3/07/2008

ในมาเลเซียกำลังมีการร่อนข้อกล่าวหาปลิวว่อนเข้าใส่กันอย่างดุเดือด ผู้นำฝ่ายค้าน อันวาร์ อิบราฮิม ออกมาตอบโต้แก้เผ็ดที่ถูกกล่าวหาเรื่องมีสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ช่วยที่เป็นชาย โดยการโจมตีทางการเมืองล่าสุดของเขาเล็งเป้าไปที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม, อัยการสูงสุด, และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ทั้งหมดเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงการต่อสู้อันมีขนาดขอบเขตกว้างขวางขึ้นไปอีก ระหว่างพลังการเมืองเก่ากับพลังการเมืองใหม่ เพื่อช่วงชิงอำนาจมาไว้ในการครอบครอง

ปีนัง – เวลาผันผ่านไปอีกวันหนึ่ง ก็ปรากฏข้อกล่าวหารุนแรงอีกข้อหาหนึ่งที่ส่งแรงระเบิดใส่มาเลเซียซึ่งกำลังเกิดการแบ่งขั้วแยกข้างทางการเมือง อันวาร์ อิบรอฮิม ผู้นำมากบารมีของฝ่ายค้าน ได้ทิ้งบอมบ์ลูกใหญ่ในวันพฤหัสบดี(3) เมื่อเขาพูดในที่ประชุมแถลงข่าวโดยกล่าวหารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม นาจิบ ราซัค ว่า รู้จักมักจี่เป็นการส่วนตัวกับหญิงสาวชาวมองโกเลียผู้หนึ่ง ซึ่งได้ถูกฆาตกรรมอย่างลี้ลับเป็นปริศนาในปี 2006

ลูกน้องคนสนิทของนาจิบ ที่ชื่อ อับดุล ราซัค บากินดา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยผู้นำของประเทศอีก 2 คน กำลังตกเป็นผู้ต้องหาในการไต่สวนพิจารณาคดีฆาตกรรมที่กำลังถูกจับจ้องอย่างใกล้ชิดคดีนี้ ซึ่งบางคนเชื่อว่าอาจส่งผลกระทบอย่างสำคัญในทางการเมืองต่อประเทศชาติได้ทีเดียว การแถลงข่าวของอันวาร์คราวนี้กระทำโดยอ้างอิงคำให้การภายใต้การสาบานตัว ของอดีตนายตำรวจซึ่งหันเหอาชีพไปเป็นนักสืบเอกชน ชื่อ พี บาละสุพราหมเณียม ผู้ซึ่งได้รับการว่าจ้างจาก อับดุล ราซัค

ในคำให้การของนักสืบเอกชนผู้นี้ เขากล่าวหาว่า นาจิบนั่นแหละที่เป็นผู้แนะนำล่ามและนางแบบสาวชาวมองโกเลีย ผู้มีนามว่า อัลตันตุยา ชาริอิบู ให้ อับดุล ราซัค รู้จัก แล้วยังตั้งข้อหาต่อไปด้วยว่า หญิงสาวชาวมองโกเลียผู้นี้ได้รับสัญญาว่า จะได้ค่าคอมมิสชั่นจำนวน 500,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับการช่วยเหลือเพื่อทำข้อตกลงเรื่องเรือดำน้ำ ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งดูเหมือนยังมีปัญหาติดขัดไม่ราบรื่น

ราชา เปตรา บล็อกเกอร์ผู้ได้รับความนิยมอย่างสูง ได้เคยกล่าวอ้างไว้ในงานเขียนชิ้นหนึ่งก่อนหน้านี้ว่า โรสมะห์ ภรรยาของนาจิบ และบุคคลอื่นอีก 2 คน อยู่ในสถานที่เกิดฆาตกรรมด้วย ในคืนที่หญิงสาวชาวมองโกเลียถูกยิงตายและต่อมาศพก็ถูกวางระเบิดเพื่อหมายทำลายหลักฐาน หลังจากการกล่าวหาต่อสาธารณชนดังกล่าวนี้ผ่านไปแล้วหลายวัน นาจิบได้ออกมาปฏิเสธอย่างโกรธกริ้วว่าเขาไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ ขณะที่ภรรยาของเขากล่าวว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในอาชญกรรมรายนี้ อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ทั้งรองนายกรัฐมนตรีและภริยาต่างไม่ได้ดำเนินการฟ้องร้องหมิ่นประมาทต่อบล็อกเกอร์ ราชา เปตรา เพื่อปกป้องชื่อเสียงของพวกเขาเองแต่อย่างใด

ข้อกล่าวหาที่มีนัยทางการเมืองอย่างสูงต่อรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหมคราวนี้ บังเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันภายหลังจากที่มีการแจ้งความตำรวจกล่าวโทษอันวาร์เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ก่อน (28 มิ.ย.) ในข้อหาเสพสังวาสทางทวารหนัก ซึ่งเป็นความผิดทางอาญาในมาเลเซีย อันเป็นข้อกล่าวหาที่มองดูทีแรกแล้วช่างเหมือนกับการฉายซ้ำอีกคำรบหนึ่งของเคราะห์ร้ายทางการเมืองที่อดีตรองนายกรัฐมนตรีผู้นี้เคยประสบในปี 1998 เมื่อเขาถูกกำจัดพ้นจากอำนาจและต่อมาก็ถูกจำคุกอยู่ 6 ปีด้วยความผิดซึ่งเขายืนยันมาตลอดจนทุกวันนี้ว่าเป็นการถูกกลั่นแกล้งยัดเยียดข้อหา ตลอดสุดสัปดาห์ดังกล่าว อันวาร์ไปขอลี้ภัยอยู่ที่สถานเอกอัครราชทูตตุรกีประจำกัวลาลัมเปอร์ โดยอ้างว่ารัฐบาลวางแผนจะลอบสังหารเขา

นับแต่นั้นมาเขาก็ตอบโต้กลับในลักษณะของการแก้เผ็ดเอาคืน ด้วยการไปแจ้งความตำรวจในวันอังคาร(1) กล่าวหาอัยการสูงสุดและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในปัจจุบัน ว่ามีบทบาทเกี่ยวข้องในการระงับยับยั้งการสอบสวนของตำรวจ ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในเวลานั้น ได้ทำร้ายร่างกายอันวาร์ขณะที่ถูกเอาผ้าปิดตาไว้ในปี 1998 จนทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสที่บริเวณกระดูกสันหลัง

และจากการแถลงข่าวในวันพฤหัสบดี(3) ก็เป็นที่แน่ชัดว่าอันวาร์กำลังอยู่ในท่าทีของเดินหน้ารุกทางการเมือง โดยตีลูกบอลแห่งการกล่าวหาใส่กัน ให้วิ่งกลับไปยังคอร์ตทางข้างรัฐบาล นักวิจารณ์ทางการเมืองรายหนึ่งได้บอกกับเอเชียไทมส์ออนไลน์ ณ ที่ประชุมแถลงข่าวอันโด่งดังเกรียวกราวคราวนี้ว่า ถ้าข้อกล่าวหาล่าสุดต่อรองนายกรัฐมนตรีและว่าที่ทายาทผู้จะเข้าดำรงตำแหน่งต่อจากนายกรัฐมนตรี อับดุลเลาะห์ บาดาวี ซึ่งกำลังถูกโจมตีหนักจนน่วม มีมูลความจริงแล้ว “นาจิบก็ต้องไปแน่นอน และรัฐบาลก็ต้องแตกเป็นเสี่ยงๆ”

ขณะที่คำทำนายเช่นนี้อาจจะยังดูเลวร้ายจนเกินไปสำหรับในเวลานี้ แต่การเมืองของมาเลเซียก็ถือได้ว่าก้าวเข้าสู่ยุคใหม่อันปั่นป่วนด้วยการเดินหมากกลทางการเมืองแบบเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤต และสิ่งที่เป็นเดิมพันในการต่อสู้คราวนี้ก็มีมากกว่าแค่ชื่อเสียงเกียรติยศทางการเมืองของอันวาร์หรือของนาจิบเท่านั้น ความตึงเครียดที่กำลังเพิ่มมากขึ้นคราวนี้เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของการต่อสู้ทางการเมืองในขนาดขอบเขตกว้างใหญ่ยิ่งกว่านั้นอีก มันเป็นการต่อสู้ระหว่างพลังการเมืองเก่ากับพลังการเมืองใหม่ มันเป็นสภาพที่ขบวนการประชาชนซึ่งมุ่งเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง กำลังท้าทายอย่างกร้าวแกร่งต่อการปกครองที่นำโดยพรรคสหมาเลย์แห่งชาติ (United Malays Nasional Organization หรือ UMNO ) ซึ่งได้ครองอำนาจมาถึงครึ่งศตวรรษแล้ว

ขบวนการประชาชนและอันวาร์ทำงานไปด้วยกัน ในการสร้างความเพลี่ยงพล้ำทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดในช่วงเวลาเกือบ 40 ปี ให้เกิดขึ้นแก่พรรคอัมโนและพันธมิตรรัฐบาลผสม บาริซัน เนชั่นแนล (Barisan Nasional หรือ BN) จากการเลือกตั้งทั่วไปซึ่งจัดขึ้นในเดือนมีนาคมปีนี้ โดยบรรดาพรรคฝ่ายค้านสามารถกวาดคะแนนเสียงของผู้ใช้สิทธิไปได้เกือบครึ่งหนึ่ง, เข้าควบคุมการปกครองท้องถิ่นของรัฐต่างๆ รวม 5 รัฐจาก 13 รัฐที่มารวมกันเป็นสหพันธรัฐมาเลเซีย, กวาดที่นั่งรัฐสภาในเขตเมืองหลวงกัวลาลัมเปอร์, และปฏิเสธไม่ให้พันธมิตรบีเอ็นได้ครองเสียงข้างมากสองในสามในรัฐสภาอีกต่อไปแล้ว

**หน้าเก่าแต่ยุคใหม่**

อันวาร์เป็นใบหน้าที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุดของขบวนการดังกล่าวนี้ แต่ที่จริงแล้วมันเป็นขบวนการที่มีฐานอันกว้างขวาง และที่สำคัญที่สุดก็คืออยู่เหนือการแบ่งแยกทางเชื้อชาติอีกด้วย ระเบียบปกครองเก่าที่นำโดยพรรคอัมโน ด้วยความที่จมแช่อยู่ในแบบจำลองของการต่อรองทางการเมืองชนิดอิงอยู่กับเชื้อชาติซึ่งกำลังหมดพลังเสียแล้ว ของพันธมิตรรัฐบาลผสม จึงเชื่องช้าเหลือเกินในการดำเนินการตอบโต้ และจวบจนถึงเวลานี้ก็ดูเหมือนไร้น้ำยาที่จะหยุดยั้งฝ่ายค้านที่นำโดยอันวาร์ ไม่ให้ฉวยคว้าเอาผู้แปรพักตร์สัก 30 คนจากบรรดาสมาชิกรัฐสภาของฝ่ายบีเอ็น ซึ่งก็จะทำให้ฝ่ายค้านสามารถที่จะครองเสียงข้างมากและยึดอำนาจปกครองไปได้ โดยที่พวกพันธมิตรฝ่ายค้านได้ประกาศกำหนดเส้นตายเอาไว้เองแล้วว่าจะกระทำเรื่องนี้ให้สำเร็จภายในวันที่ 16 กันยายน

แม้จะไร้น้ำยาแต่บางทีก็อาจจะต้องยกเว้นให้ ในเรื่องการหาทางสกัดกั้นทำให้อันวาร์อับจนเดินต่อไปไม่ได้ ด้วยวิธีตั้งข้อหาคดีอาญาใหม่ๆ ขึ้นมา ทั้งนี้ข้อกล่าวหาซึ่งเป็นที่เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นการกุเรื่องขึ้นมาคราวนี้ ชวนให้ระลึกย้อนถึงยุทธวิธีเก่าๆ เลวๆ ของพรรคอัมโนเสียจริงๆ ถ้าหากแกนนำพรรครัฐบาลพรรคนี้คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังข้อกล่าวหาเรื่องเสพสังวาสทางทวารหนัก ซึ่งผู้ช่วยชายวัย 23 ปีผู้หนึ่ง เป็นคนที่ออกมาแจ้งความกล่าวหาอันวาร์

ในอีกด้านหนึ่ง ชาวมาเลเซียผู้มีจิตใจต้องการการปฏิรูป กำลังนำหน้าพวกนักการเมืองฝ่ายค้านไปแล้วอย่างชัดเจน ในการสื่อสารอย่างแจ่มแจ้งถึงความต้องการต่างๆ ของพวกเขาเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางประชาธิปไตย พวกเขาก้าวข้ามการแบ่งแยกทางเชื้อชาติแบบที่พรรคอัมโนส่งเสริมสนับสนุนไปแล้วอย่างห้าวหาญ และกำลัท้าทายพันธมิตรบีเอ็นในประเด็นปัญหาต่างๆ อย่างกว้างขวาง อาทิ ค่าครองชีพที่กำลังพุ่งลิ่วอย่างรวดเร็ว, การแบ่งแยกกันที่ทวีขึ้นทุกทีระหว่างคนรวยกับคนจน, การทุจริตคอร์รัปชั่นที่เหมือนโรคระบาด, อัตราคดีอาชญากรรมที่มีแต่เพิ่มขึ้นๆ, และการขาดความเชื่อมั่นในสถาบันประชาธิปไตยที่เป็นไปอย่างกว้างขวาง

ตอนแรกๆ พวกนักการเมืองฝ่ายค้านยังคงลงเลที่จะทะลุกำแพงทางอุดมการณ์และจับมือประสานงานกันให้ได้ ก่อนหน้าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปช่วงต้นปีนี้ แต่แล้วอารมณ์ความรู้สึกในหมู่ประชาชนพื้นฐาน ก็กดดันให้พวกเขาต้องยอมหันมารวมตัวกัน สำหรับตัวอันวาร์เองนั้น มีบทบาทอันสำคัญมากในการวางร้อยปะชุนให้บังเกิดสิ่งที่เรียกกันว่า “พันธมิตรของประชาชน” (People’s Alliance) โดยพันธมิตรนี้ประกอบด้วย พรรคความยุติธรรมแห่งประชาชน (People’s Justice Party ใช้ชื่อย่อจากภาษามาเลเซียว่า PKR) ของเขาเอง, พรรคกิจประชาธิปไตย (Democratic Action Party หรือ DAP), พรรคอิสลาม (Islamic Party ใช้ชื่อย่อว่า Pas), และกระทั่งพวกผู้สมัครของพรรคสังคมนิยมแห่งมาเลเซีย (Socialist Party of Malaysia) ที่ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนเป็นพรรคการเมือง

อันวาร์ผู้เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคลังขณะยังสังกัดอยู่กับพรรคอัมโนนั้น กำลังอยู่ในกระบวนการของการปรับเปลี่ยนมรดกทางการเมืองของเขาเสียใหม่ ให้ปรากฏฐานะเป็นผู้ก่อปฏิกิริยาเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางประชาธิปไตย เขากำลังแสดงบทบาทอย่างแน่วแน่สม่ำเสมอ ทั้งในการถักร้อยสอดประสานพวกพันธมิตรที่อยู่ในระดับรัฐบาลปกครองท้องถิ่นซึ่งฝ่ายค้านยึดครองมาได้, แก้ปัญหาความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างส่วนต่างๆ ในหมู่ฝ่ายค้าน, และกำลังจัดให้มีคณะทำงานระดับสูงทำหน้าที่ในการนำร่องทางนโยบาย โดยประกอบด้วยพรรคและฝ่ายค้านต่างๆ ซึ่งรวมกันเป็นพันธมิตรประชาชน

ภายใต้ระบบการเมืองแบบรวมศูนย์อยู่ที่ศูนย์กลางกันอย่างสูงยิ่งของมาเลเซีย รัฐบาลกลางคือผู้ยึดกุมอำนาจต่างๆ เอาไว้อย่างมหาศาล ตลอดจนเงินทุนของรัฐบาลกลางก้อนมหึมาด้วย ซึ่งทำให้ทรัพยากรทางการเมืองของรัฐบาลท้องถิ่นระดับรัฐเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ก็จะดูอ่อนด้อยไม่เพียงพอเลย นอกจากนั้นพวกกฎหมายลักษณะกดขี่ต่างๆ ที่มีใช้กันอยู่ในเวลานี้ก็ไม่น่าที่จะถูกยกเลิกไปได้ในเร็ววัน เมื่อคำนึงถึงว่าพันธมิตรพรรคร่วมรัฐบาลยังคงสามารถครองเสียงเกินกึ่งหนึ่งในรัฐสภา

แต่ในอีกด้านหนึ่ง พวกนักการเมืองในรัฐที่ร่ำรวยด้วยทรัพยากรอย่างเช่น ซาบาห์ แม้กระทั่งพวกที่มาจากพันธมิตรพรรครัฐบาลเองด้วย ก็กำลังพยายามออกมาส่งเสียงแสดงความต้องการของท้องถิ่น เป็นต้นว่า การเรียกร้องให้เพิ่มภาษีสัมปทานน้ำมัน ที่รัฐต่างๆ เหล่านี้ได้รับอยู่ในเวลานี้แค่ 5% ขึ้นเป็น 20% เพื่อใช้แก้ไขบรรเทาปัญหาความยากจนที่จำเป็นเร่งด่วน ตลอดจนความต้องการในการพัฒนาอื่นๆ ความเชื่อมั่นและสิทธิเสียงที่พวกเขาเพิ่งค้นพบกันใหม่เช่นนี้ มีบางคนชี้ว่า เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่กำลังเป็นปัญหาของความสัมพันธ์ในปัจจุบัน ระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐบาลระดับรัฐ และอาจเป็นเค้าลางของการปรับเปลี่ยนไปสู่กระบวนการกระจายอำนาจอย่างใหญ่หลวงมากขึ้น และกระบวนการสร้างประชาธิปไตยระดับท้องถิ่นอย่างมากมายยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน การประกาศปรับขึ้นราคาน้ำมันไปถึง 41% ก็กลายเป็นเชื้อเพลิงโหมกระพือให้เกิดการเลิกเชื่อถือน้ำยาของรัฐบาลที่นำโดยพรรคอันโม ภายในเขตนครหลวงซึ่งทรงความสำคัญยิ่งในทางการเมือง การประท้วงราคาน้ำมันครั้งใหญ่กำหนดจะจัดกันขึ้นมาในวันที่ 6 กรกฎาคม โดยที่บางคนกลัวว่าอาจถูกทางรัฐบาลใช้เป็นข้ออ้างเพื่อเข้าปราบปราม อย่างไรก็ตาม หลายๆ คนคาดหมายว่าเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะเกิดการชะลอตัวลง ซึ่งพ้องกันพอดีกับความตึงเครียดทางการเมืองที่กำลังเร่งตัวขึ้นทุกขณะ

พวกนักวิเคราะห์ทางการเมืองเชื่อว่า ข้อกล่าวหาเสพสังวาสทางทหารหนักที่ใช้เล่นงานอันวาร์ ตลอดจนการตอบโต้กลับต่อนาจิบของอันวาร์ในวันพฤหัสบดี น่าที่จะเป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งแห่งการกล่าวหาตอบโต้กันไปมาในทางการเมือง ที่กำลังจะบังเกิดขึ้นในหลายๆ สัปดาห์และหลายๆ เดือนต่อจากนี้ไป สิ่งที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนจึงมีอยู่ว่า การเมืองของมาเลเซียได้เข้าสู่ยุคใหม่แห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วฉับพลันและเป็นไปได้ว่าจะอยู่ในภาวะไร้เสถียรภาพ

อะนิล เนตโต เป็นนักเขียนซึ่งพำนักอยู่ที่ปีนัง

*หมายเหตุ*

พี บาละสุพราหมเณียม นักสืบเอกชนซึ่งในการแถลงข่าววันพฤหัสบดี(3) อันวาร์ได้อ้างคำให้การของเขาที่ระบุว่า นาจิบรู้จักและมีเพศสัมพันธ์กับหญิงสาวชาวมองโกเลียผู้ถูกฆาตกรรมนั้น พอวันรุ่งขึ้น(4) ปรากฏว่า บาละสุพราหมเณียนได้ออกมาแถลงขอถอนคำให้การในเรื่องนี้ทั้งหมด ด้วยเหตุผลว่าเขาทำไปเนื่องจากถูกบังคับข่มขู่ อย่างไรก็ตาม ในวันเสาร์(5) ญาติพี่น้องก็แจ้งความตำรวจว่า นักสืบเอกชนผู้นี้พร้อมบุตรภรรยาได้หายตัวไปอย่างลึกลับ และทางตำรวจประกาศว่าจะติดตามตัวให้พบโดยจะขอความช่วยเหลือจากตำรวจสากลด้วย –ผู้แปล 6/07/2008
กำลังโหลดความคิดเห็น