เอเจนซี - สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ลงคะแนนเสียงรับรองอย่างท่วมท้น เมื่อวันอังคาร (20) ร่างกฎหมายฉบับใหม่ซึ่งจะอนุญาตให้กระทรวงยุติธรรมอเมริกัน ฟ้องร้องประเทศสมาชิกกลุ่มโอเปกฐานจำกัดปริมาณการผลิตน้ำมันและร่วมมือกันตั้งราคาน้ำมันดิบ แต่ทำเนียบขาวขู่ว่าจะใช้สิทธิยับยั้งเพื่อปกป้องผลประโยชน์อเมริกัน
ร่างรัฐบัญญัติดังกล่าวหากมีผลบังคับใช้ ก็จะทำให้องค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ต้องปฏิบัติตามกฎหมายต่อต้านการผูกขาดของสหรัฐฯ ในลักษณะเดียวกับที่บริษัทสัญชาติอเมริกันต้องทำอยู่ในเวลานี้
ทั้งนี้ ส.ส.สหรัฐฯ ลงคะแนนรับรองร่างรัฐบัญญัติฉบับนี้ด้วยคะแนนเสียง 324-84 ซึ่งเป็นคะแนนจำนวนมากเพียงพอที่จะเอาชนะการใช้สิทธิยับยั้งของประธานาธิบดี
ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังระบุให้กระทรวงยุติธรรมจัดตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการสืบสวนโดยละเอียดในเรื่องการขึ้นราคาน้ำมันและการแทรกแซงตลาดพลังงาน
“ร่างรัฐบัญญัตินี้มุ่งรับประกันว่าราคาน้ำมันจะต้องสะท้อนกฎซัปพลาย-ดีมานด์ตามหลักเศรษฐศาสตร์ที่แท้จริง แทนที่จะเป็นการเก็งกำไรกันอย่างบ้าคลั่งและอาจจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายด้วย” สตีฟ เคเกน ส.ส.พรรคเดโมแครตจากมลรัฐวิสคอนซิน ซึ่งร่วมลงชื่อเสนอรัฐบัญญัติดังกล่าวบอก
ทางด้านทำเนียบขาวไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายบัญญัติฉบับนี้ ที่ตั้งเป้าโจมตีการลงทุนของกลุ่มโอเปกในสหรัฐฯ โดยเห็นว่า “จะยิ่งไปกระตุ้นให้เกิดการดำเนินการตอบโต้อย่างรุนแรงต่อผลประโยชน์ของอเมริกันในประเทศเหล่านั้น และนำไปสู่การลดปริมาณน้ำมันในโรงกลั่นของสหรัฐฯ ด้วย”
รัฐบาลสหรัฐฯ เห็นว่า การมีปริมาณน้ำมันในโรงกลั่นลดลงจะยิ่งลดซัปพลายของน้ำมันให้ต่ำลง และทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นไปอีก
เอฟบีอาร์ แคปิตอล มาร์เก็ต คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทที่มีฐานกิจการอยู่ในเมืองอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย มีความเห็นว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การลงทุนทางโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันของบริษัทต่างชาติในสหรัฐฯ ลดลงมาเรื่อยๆ แต่กิจการน้ำมันที่เป็นของภาครัฐในกลุ่มโอเปกหลายประเทศได้เข้ามาเป็นเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐฯ มากขึ้น และการลงทุนเหล่านี้อาจได้รับผลกระทบหากรัฐบัญญัติดังกล่าวผ่านเป็นกฎหมายอย่างสมบูรณ์
ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังจะต้องผ่านการลงมติรับรองจากวุฒิสภาเสียก่อนด้วย จึงจะถึงขั้นตอนเสนอให้ประธานาธิบดีลงนาม หากบุชใช้อำนาจยับยั้งตามที่ทำเนียบขาวแถลง ทั้งสองสภาก็จะต้องลงคะแนนด้วยเสียงเกินสองในสามของแต่ละสภา จึงจะทำให้สิทธิยับยั้งของประธานาธิบดีปราศจากผล และสามารถประกาศบังคับใช้ต่อไป
