เอเอฟพี - ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจญี่ปุ่นลดฮวบลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบระยะเวลาอย่างน้อย 4 ปี โดยบรรดาผู้บริหารบริษัทต่างๆ ของแดนซามูไรบอกว่า รู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับค่าเงินเยนที่แข็งขึ้นมาก และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้เป็นผลการสำรวจที่จัดทำโดยรัฐบาลและนำออกเผยแพร่เมื่อวานนี้ (24)
อารมณ์ความรู้สึกของพวกบริษัทขนาดใหญ่หล่นลงมาเหลือ -9.3 ในช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค.ปีนี้ ต่ำลงเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน โดยที่ในไตรมาส ต.ค.-ธ.ค.ปีที่แล้วนั้น ตัวเลขอยู่ที่ +0.5
ตัวเลขดัชนีนี้นับว่าต่ำกว่าระดับ +2.4 ซึ่งพวกผู้ตอบคำถามเองทำนายเอาไว้ในระหว่างตอบคำถามสำรวจครั้งก่อน อีกทั้งเป็นตัวเลขต่ำที่สุดนับตั้งแต่รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มการรวบรวมข้อมูลด้วยรูปแบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบันในปี 2004 เป็นต้นมา
ตัวเลขนี้คำนวณโดยที่จะนำเอาจำนวนเปอร์เซ็นต์ของพวกบริษัทขนาดใหญ่ที่บอกว่าเงื่อนไขทางธุรกิจกำลังย่ำแย่ลง ลบออกจากจำนวนเปอร์เซ็นต์ของพวกที่ตอบว่าเงื่อนไขกำลังกระเตื้องดีขึ้น
พวกนักวิเคราะห์ มองว่า การที่ความเชื่อมั่นทรุดลงเช่นนี้ มีสาเหตุสำคัญจากค่าเงินเยนที่ทะยานลิ่ว รวมทั้งความรู้สึกวิตกเกี่ยวกับการทรุดตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตลอดจนราคาน้ำมันที่พุ่งโด่ง
สำหรับความคาดหมายเกี่ยวกับอนาคตนั้น เมื่อคำนวณจากคำทำนายของบรรดาผู้ตอบคำถามการสำรวจคราวนี้ พบว่า พวกเขาเห็นว่าตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นของบริษัทขนาดใหญ่จะกระเตื้องขึ้นเป็น -2.3 ในไตรมาสต่อไปคือ เม.ย.-มิ.ย.2008 และอยู่ในระดับ +6.6 ในไตรมาสต่อจากนั้น
ทว่าพวกนักวิเคราะห์ เตือนว่า ความคาดหวังเหล่านี้อาจจะมลายหายไป หากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งผลสร้างความเสียหายต่อบรรดาเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ ซึ่งจวบจนถึงเวลานี้ยังทำท่าไปได้ดี และหนุนส่งเพิ่มความต้องการสินค้าตลอดจนอัตราเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก
โยชิคิโยะ ชิมามิเนะ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสแห่งสถาบันวิจัยไดอิชิไลฟ์ ตั้งข้อสังเกตว่า หากจะให้ความเชื่อมั่นในไตรมาสต่อๆ ไปกระเตื้องดีขึ้นถึงระดับตัวเลขที่ทำนายกันมานี้ เงินดอลลาร์จำเป็นต้องแข็งขึ้นจนกลับไปสู่ระดับ 1 ดอลลาร์แลกได้ราวๆ 120 เยน จากที่อ่อนปวกมาอยู่แถวๆ 100 เยนในปัจจุบัน "ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นในขณะนี้"
บรรดานักวิเคราะห์ คาดหมายกันด้วยว่า รายงานการสำรวจอารมณ์ความรู้สึกของภาคธุรกิจประจำไตรมาส ที่เรียกกันว่า "ตังกัง" ซึ่งจัดทำโดยธนาคารกลางของญี่ปุ่นและได้รับความเชื่อถือมาก โดยฉบับล่าสุดกำหนดเผยแพร่ในวันที่ 1 เมษายน ก็น่าจะสะท้อนว่าเงื่อนไขทางธุรกิจกำลังเลวร้ายลงเช่นเดียวกัน
