เอเอฟพี/เอเจนซี - ค่าเงินดอลลาร์ที่หล่นฮวบฮาบ ทำให้เขตยูโรโซนกลายเป็นระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลกแซงหน้าสหรัฐฯ ไปแล้ว แม้อาจจะเป็นเพียงชั่วคราวก็ตามที นอกจากนั้น นักวิเคราะห์ยังชี้ด้วยว่า สภาพการณ์เช่นนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงแนวโน้มที่กลุ่ม 15 ชาติซึ่งใช้สกุลเงินยูโรกลุ่มนี้ กำลังหันเหมุ่งมาสู่เอเชีย, รัสเซีย, ตลอดจนรัฐร่ำรวยน้ำมันในย่านอ่าวเปอร์เซีย
“จากการที่เงินยูโรเวลานี้ซื้อขายกันในระดับ 1 ยูโร เท่ากับประมาณ 1.56 ดอลลาร์ ขนาดของผลผลิตประจำปีของยูโรโซน (เมื่อคำนวณตามราคาตลาด) ก็แซงหน้าของสหรัฐฯ ไปแล้ว” โกลด์แมนแซคส์ วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่สัญชาติสหรัฐฯ กล่าวในรายงานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
“ถึงแม้พัฒนาการเช่นนี้อาจจะปรากฏขึ้นเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกผู้วางนโยบายในยุโรปก็พึงได้รับความภาคภูมิใจบางประการ” จากสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ รายงานของโกลด์แมนแซคส์ กล่าวต่อ
ในรอบปีที่ผ่านมา เงินดอลลาร์มีค่าอ่อนลงถึงราว 18% หากเทียบกับเงินยูโร โดยที่ทรุดหนักมากถึง 10% ในช่วงเวลาเพียง 1 เดือนหลังมานี้ เมื่อนักลงทุนพากันหวาดผวาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถลำลงสู่ภาวะถดถอย และธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังจะต้องหั่นลดดอกเบี้ยอย่างแรงๆ กันต่อไปอีก
ขณะที่ เศรษฐกิจยูโรโซน แม้ชะลอตัวลงตามอเมริกาอยู่เหมือนกัน แต่ก็แสดงถึงความสามารถที่จะยืดหยุ่นรับมือได้ และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ก็ยังคงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้อย่างแข็งขัน
โฮลเกอร์ ชมีดิง นักเศรษฐศาสตร์ของ แบงก์ออฟอเมริกา สาขาแฟรงก์เฟิร์ต กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งเป็นเพราะยูโรโซนมีการปฏิรูปเปิดเสรีโครงสร้างซึ่งเคยเป็นตัวอุปสรรคจำกัดการขยายตัวของเศรษฐกิจในอดีต
“แทบไม่มีภูมิภาคใดได้ประโยชน์จากกระแสโลกาภิวัตน์ยิ่งกว่ายูโรโซน” เขาเขียนในหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัลยุโรป เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
“จากการที่พวกเขาโฟกัสในเรื่องเครื่องจักรกลที่มีคุณภาพ, เครื่องจักรอุปกรณ์ด้านโครงสร้างพื้นฐาน, รถยนต์และเครื่องบิน พวกบริษัทยุโรปตะวันตกจึงสามารถเสนอผลิตภัณฑ์อันผสมผสานกันอย่างเหมาะสม ในการตอบสนองความเฟื่องฟูทางการลงทุนในเอเชียตะวันออก, พวกประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน และหลายส่วนของยุโรปตะวันออก-ยุโรปกลาง”
