พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรคประชาชาติ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า รัฐบาลอนุทินฯ กับวิกฤติธรรมาภิบาล “MotoGP และการใช้อำนาจรัฐเพื่อพวกพ้อง”
การอนุมัติงบประมาณล่วงหน้า 3,997 ล้านบาทเศษ เพื่อจัด MotoGP ปี 2570–2574 โดยรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ประชุม ครม. 4 พฤศจิกายน 2568 เป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาธรรมาภิบาลเชิงโครงสร้างของรัฐไทย — เมื่องบประมาณถูกใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มอำนาจ มากกว่าประโยชน์สาธารณะ
รัฐบาลอายุแค่ 4 เดือน เพื่อยุบสภา แต่ “อนุทินฯ” ทิ้งไว้เพียง มรดกหนี้แผ่นดินเกือบ 4,000 ล้านบาทที่คนไทยต้องจ่ายลากยาวไปถึงปี 2574 เพื่อจัด MotoGP ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ที่เป็นของ บริษัท บุรีรัมย์ยูไนเต็ดอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต จำกัด ตั้งอยู่ที่ 30/2 หมู่ที่ 4 ต.อิสาณ อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ เป็นบ้านเลขที่เดียวกันกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และยังปรากฏชื่อ “นายเนวิน ชิดชอบ” “นางสาวชิดชนก ชิดชอบ” “นายตนัยศิริ ชาญวิทยารมณ์” และ “นายกนกศักดิ์ ปิ่นแสง” เป็นกรรมการบริษัทฯ อย่างนี้เรียกได้ว่า “มติ ครม. อนุมัติ MotoGP เพื่ออนุทิน-เนวิน” ใช่หรือไม่? ในภาวะที่เศรษฐกิจของประเทศยังเปราะบาง การทุ่มงบประมาณมหาศาลขนาดนี้ลงไปในอีเวนต์เดียว คำถามถึง "ความคุ้มค่า" ที่สำคัญที่สุด เมื่อไล่เรียงลำดับการอนุมัติงบประมาณในแต่ละยุคสมัย
• มติ ครม. ครั้งที่ 1 (ปี 61-63) สมัยรัฐบาล คสช. อนุมัติ 300 ล้านบาท (เฉลี่ย 100 ล./ปี) เพื่อ "สนับสนุน" ค่าลิขสิทธิ์ "บางส่วน”
• มติ ครม. ครั้งที่ 2 (ปี 64-69) สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (ภูมิใจไทยร่วมรัฐบาล) อนุมัติ 900 ล้านบาท (เฉลี่ย 180 ล./ปี) "สนับสนุน" เพิ่ม "ค่าจัดงาน”(5ปี)
• มติ ครม. ครั้งที่ 3 (ปี 70-74) สมัยรัฐบาล นำโดยภูมิใจไทย อนุมัติ 3,997 ล้านบาทเศษ (เฉลี่ย 800 ล./ปี) หรือเพิ่มขึ้น 8 เท่า เพื่อ "อุ้มงบ" แทบทั้งก้อน
การที่ภาระงบประมาณของรัฐพุ่งสูงขึ้นถึง 8 เท่า สะท้อนว่าโมเดลนี้อาจไม่ยั่งยืนในเชิงธุรกิจ และขาดความคุ้มค่า จนภาคเอกชนอาจไม่ร่วมลงทุน และรัฐต้องเข้ามา "จ่ายแทน” ข้อมูลในภาพตอกย้ำประเด็นนี้ชัดเจนว่า "รายได้ค่าตั๋ว" ที่รัฐคาดการณ์ตลอด 5 ปี (ประมาณ 180 ล้าน) เพิ่งจะเท่ากับ "ค่าจัดงาน" เพียงปีเดียว (180 ล้าน)
"คนจน" ที่ถูกลืม รายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนบุรีรัมย์อยู่ที่ 91,635 บาท/ปี "ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ 2.8 เท่า" และ มี "คนจนเป้าหมาย" ที่รัฐต้องช่วยเหลือเร่งด่วน เป็นอันดับ 2 ของประเทศ
มี "กว่า 145,475 ชีวิต" ที่รอโอกาสทางการศึกษาและคุณภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ มติ ครม. ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาความยากจน กลับตอกย้ำความเหลื่อมล้ำเพราะใช้งบประมาณมหาศาล เกือบ 4,000 ล้านบาท เพื่อจัดแข่งที่ สนามช้างฯ บุรีรัมย์ (พื้นที่บ้านนายกฯ อนุทิน) นี่คือการ "เอาเงินในอนาคตมาใช้" สร้างภาระ และทำให้ อำนาจ/งบประมาณยิ่งกระจุกตัวอยู่ที่พวกพ้อง ประชาชนทั่วไปถูกกันออกไปจากการมีส่วนร่วมเกือบสิ้นเชิง!
ที่น่าตกใจยิ่งกว่า คือในสัดส่วนงบประมาณ ตามมติ ครม. ครั้งนี้ รัฐต้องจ่าย "ค่าภาษี" สูงถึง 780 ล้านบาทเศษ ซึ่งเป็นการจ่าย "แทน" บริษัทเอกชน
การกระทำนี้คือการ "ดึงงบในอนาคตมาใช้" เพื่อสนับสนุนธุรกิจที่เชื่อมโยงกับผู้มีอำนาจในปัจจุบันภายใต้ชื่อ "ส่งเสริมการท่องเที่ยว" แต่ผลประโยชน์อาจไหลกลับเข้ากระเป๋าเอกชนกลุ่มเดิมอย่างชัดเจน แม้กระทั่งที่ดินโดยรอบสนามบางส่วนยังเป็นของ การรถไฟแห่งประเทศไทย ประมาณ 5 พันไร่
แต่กลับถูกพัฒนาเป็น โรงแรม ปั๊มน้ำมัน สนามฟุตบอล และศูนย์ธุรกิจโดยบริษัทในเครือตระกูลเดียวกัน งบประมาณเงินภาษีประชาชน… กลายเป็นรายได้ของ “กลุ่มอำนาจทางการเมือง”
การจัดสรรงบประมาณที่เอื้อพวกพ้องจนเม็ดเงินไม่ถึงประชาชน เป็นภัยร้ายแรงยิ่งกว่ามิจฉาชีพ (Scammer)
ในขณะที่ Scammer หลอกเงินจากบัญชีส่วนตัวของประชาชนเป็นรายบุคคล แต่การ "จัดสรรงบประมาณเพื่อเอื้อพวกพ้อง" หรือการรั่วไหลอย่างเป็นระบบ คือการที่รัฐบาลนี้ “แย่งชิงเงินของประเทศชาติจากส่วนรวมอย่างเงียบ ๆ"
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การบิดเบือนนโยบายสาธารณะให้รับใช้ผลประโยชน์ส่วนตน
เป็นคอร์รัปชันในรูปแบบที่ ทำให้ระบบเศรษฐกิจและงบประมาณทำงานเพื่อคนไม่กี่คนขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังติดอยู่ในวงจรความเหลื่อมล้ำ หรือระบบ "เสือนอนกิน" และทำให้ความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่รุนแรงขึ้น
การดึงงบอนาคตมาใช้เพื่อพวกพ้อง จึงเท่ากับ "ดึงอนาคตของประเทศไปขายให้คนไม่กี่คน" อันเป็นข้อสังเกตสุดท้ายว่า “ธรรมาภิบาล” และ “จริยธรรม” อยู่ตรงไหน?
การอนุมัติงบประมาณล่วงหน้า 3,997 ล้านบาทเศษ เพื่อจัด MotoGP ปี 2570–2574 โดยรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ประชุม ครม. 4 พฤศจิกายน 2568 เป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาธรรมาภิบาลเชิงโครงสร้างของรัฐไทย — เมื่องบประมาณถูกใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มอำนาจ มากกว่าประโยชน์สาธารณะ
รัฐบาลอายุแค่ 4 เดือน เพื่อยุบสภา แต่ “อนุทินฯ” ทิ้งไว้เพียง มรดกหนี้แผ่นดินเกือบ 4,000 ล้านบาทที่คนไทยต้องจ่ายลากยาวไปถึงปี 2574 เพื่อจัด MotoGP ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ที่เป็นของ บริษัท บุรีรัมย์ยูไนเต็ดอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต จำกัด ตั้งอยู่ที่ 30/2 หมู่ที่ 4 ต.อิสาณ อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ เป็นบ้านเลขที่เดียวกันกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และยังปรากฏชื่อ “นายเนวิน ชิดชอบ” “นางสาวชิดชนก ชิดชอบ” “นายตนัยศิริ ชาญวิทยารมณ์” และ “นายกนกศักดิ์ ปิ่นแสง” เป็นกรรมการบริษัทฯ อย่างนี้เรียกได้ว่า “มติ ครม. อนุมัติ MotoGP เพื่ออนุทิน-เนวิน” ใช่หรือไม่? ในภาวะที่เศรษฐกิจของประเทศยังเปราะบาง การทุ่มงบประมาณมหาศาลขนาดนี้ลงไปในอีเวนต์เดียว คำถามถึง "ความคุ้มค่า" ที่สำคัญที่สุด เมื่อไล่เรียงลำดับการอนุมัติงบประมาณในแต่ละยุคสมัย
• มติ ครม. ครั้งที่ 1 (ปี 61-63) สมัยรัฐบาล คสช. อนุมัติ 300 ล้านบาท (เฉลี่ย 100 ล./ปี) เพื่อ "สนับสนุน" ค่าลิขสิทธิ์ "บางส่วน”
• มติ ครม. ครั้งที่ 2 (ปี 64-69) สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (ภูมิใจไทยร่วมรัฐบาล) อนุมัติ 900 ล้านบาท (เฉลี่ย 180 ล./ปี) "สนับสนุน" เพิ่ม "ค่าจัดงาน”(5ปี)
• มติ ครม. ครั้งที่ 3 (ปี 70-74) สมัยรัฐบาล นำโดยภูมิใจไทย อนุมัติ 3,997 ล้านบาทเศษ (เฉลี่ย 800 ล./ปี) หรือเพิ่มขึ้น 8 เท่า เพื่อ "อุ้มงบ" แทบทั้งก้อน
การที่ภาระงบประมาณของรัฐพุ่งสูงขึ้นถึง 8 เท่า สะท้อนว่าโมเดลนี้อาจไม่ยั่งยืนในเชิงธุรกิจ และขาดความคุ้มค่า จนภาคเอกชนอาจไม่ร่วมลงทุน และรัฐต้องเข้ามา "จ่ายแทน” ข้อมูลในภาพตอกย้ำประเด็นนี้ชัดเจนว่า "รายได้ค่าตั๋ว" ที่รัฐคาดการณ์ตลอด 5 ปี (ประมาณ 180 ล้าน) เพิ่งจะเท่ากับ "ค่าจัดงาน" เพียงปีเดียว (180 ล้าน)
"คนจน" ที่ถูกลืม รายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนบุรีรัมย์อยู่ที่ 91,635 บาท/ปี "ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ 2.8 เท่า" และ มี "คนจนเป้าหมาย" ที่รัฐต้องช่วยเหลือเร่งด่วน เป็นอันดับ 2 ของประเทศ
มี "กว่า 145,475 ชีวิต" ที่รอโอกาสทางการศึกษาและคุณภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ มติ ครม. ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาความยากจน กลับตอกย้ำความเหลื่อมล้ำเพราะใช้งบประมาณมหาศาล เกือบ 4,000 ล้านบาท เพื่อจัดแข่งที่ สนามช้างฯ บุรีรัมย์ (พื้นที่บ้านนายกฯ อนุทิน) นี่คือการ "เอาเงินในอนาคตมาใช้" สร้างภาระ และทำให้ อำนาจ/งบประมาณยิ่งกระจุกตัวอยู่ที่พวกพ้อง ประชาชนทั่วไปถูกกันออกไปจากการมีส่วนร่วมเกือบสิ้นเชิง!
ที่น่าตกใจยิ่งกว่า คือในสัดส่วนงบประมาณ ตามมติ ครม. ครั้งนี้ รัฐต้องจ่าย "ค่าภาษี" สูงถึง 780 ล้านบาทเศษ ซึ่งเป็นการจ่าย "แทน" บริษัทเอกชน
การกระทำนี้คือการ "ดึงงบในอนาคตมาใช้" เพื่อสนับสนุนธุรกิจที่เชื่อมโยงกับผู้มีอำนาจในปัจจุบันภายใต้ชื่อ "ส่งเสริมการท่องเที่ยว" แต่ผลประโยชน์อาจไหลกลับเข้ากระเป๋าเอกชนกลุ่มเดิมอย่างชัดเจน แม้กระทั่งที่ดินโดยรอบสนามบางส่วนยังเป็นของ การรถไฟแห่งประเทศไทย ประมาณ 5 พันไร่
แต่กลับถูกพัฒนาเป็น โรงแรม ปั๊มน้ำมัน สนามฟุตบอล และศูนย์ธุรกิจโดยบริษัทในเครือตระกูลเดียวกัน งบประมาณเงินภาษีประชาชน… กลายเป็นรายได้ของ “กลุ่มอำนาจทางการเมือง”
การจัดสรรงบประมาณที่เอื้อพวกพ้องจนเม็ดเงินไม่ถึงประชาชน เป็นภัยร้ายแรงยิ่งกว่ามิจฉาชีพ (Scammer)
ในขณะที่ Scammer หลอกเงินจากบัญชีส่วนตัวของประชาชนเป็นรายบุคคล แต่การ "จัดสรรงบประมาณเพื่อเอื้อพวกพ้อง" หรือการรั่วไหลอย่างเป็นระบบ คือการที่รัฐบาลนี้ “แย่งชิงเงินของประเทศชาติจากส่วนรวมอย่างเงียบ ๆ"
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การบิดเบือนนโยบายสาธารณะให้รับใช้ผลประโยชน์ส่วนตน
เป็นคอร์รัปชันในรูปแบบที่ ทำให้ระบบเศรษฐกิจและงบประมาณทำงานเพื่อคนไม่กี่คนขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังติดอยู่ในวงจรความเหลื่อมล้ำ หรือระบบ "เสือนอนกิน" และทำให้ความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่รุนแรงขึ้น
การดึงงบอนาคตมาใช้เพื่อพวกพ้อง จึงเท่ากับ "ดึงอนาคตของประเทศไปขายให้คนไม่กี่คน" อันเป็นข้อสังเกตสุดท้ายว่า “ธรรมาภิบาล” และ “จริยธรรม” อยู่ตรงไหน?


