นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ครั้งที่ 10/2565 เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบประกาศกำหนดให้ ศูนย์บริการเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์แห่งชาติ (ศบช.) โดยมูลนิธิสร้างสุขไทยเป็นสถานบริการอื่นตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 เริ่มให้บริการปีงบประมาณ 2566 ภายหลังจากที่โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ประเมินความคุ้มค่าและภาระงบประมาณของบริการ ศบช. พบว่า ทำให้คนเลิกบุหรี่สำเร็จกว่า ร้อยละ 17 ของผู้มารับบริการ มีความคุ้มค่า ช่วยประหยัดต้นทุนทางสังคมได้ตั้งแต่ 525 -10,333 บาทต่อผู้สูบหนึ่งราย
นอกจากนี้ ส่วนบุคลากรบริการ ศบช. ยังมีคุณสมบัติตามตามแนวปฏิบัติการบริการของสถานบริการสาธารณสุขอื่นตามที่ บอร์ด สปสช. ได้มีมติเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 ได้แก่ บุคลากรด้านสาธารณสุขสาขาต่างๆ ที่ผ่านการอบรมณ์หลักสูตรของศูนย์บริการเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์ เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษา และมีเจ้าหน้าที่ที่มีวุฒิการศึกษาในระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ทำหน้าที่คัดกรองเบื้องต้นแก่ผู้รับบริการ และสร้างแรงจูงใจในการเข้ารับการบำบัด
ทั้งนี้ บริการสายด่วนเลิกบุหรี่ ภายใต้บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคสำหรับประชาชนไทยทุกคน จะเริ่มให้บริการในปีงบประมาณ 2566 โดยตั้งเป้าหมายผู้รับบริการเบื้องต้นที่ 21,400 คนต่อปี โดยทุกรายที่เข้ารับบริการต้องมีการแสดงเลขบัตรประชาชน 13 หลัก เพื่อพิสูจน์ตัวตน ในการนี้ สปสช. จะมีการกำกับติดตามผลงานการให้บริการร่วมกับกรมควบคุมโรค เพื่อเป็นการประเมินการดำเนินงานต่อไป
นอกจากนี้ ส่วนบุคลากรบริการ ศบช. ยังมีคุณสมบัติตามตามแนวปฏิบัติการบริการของสถานบริการสาธารณสุขอื่นตามที่ บอร์ด สปสช. ได้มีมติเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 ได้แก่ บุคลากรด้านสาธารณสุขสาขาต่างๆ ที่ผ่านการอบรมณ์หลักสูตรของศูนย์บริการเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์ เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษา และมีเจ้าหน้าที่ที่มีวุฒิการศึกษาในระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ทำหน้าที่คัดกรองเบื้องต้นแก่ผู้รับบริการ และสร้างแรงจูงใจในการเข้ารับการบำบัด
ทั้งนี้ บริการสายด่วนเลิกบุหรี่ ภายใต้บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคสำหรับประชาชนไทยทุกคน จะเริ่มให้บริการในปีงบประมาณ 2566 โดยตั้งเป้าหมายผู้รับบริการเบื้องต้นที่ 21,400 คนต่อปี โดยทุกรายที่เข้ารับบริการต้องมีการแสดงเลขบัตรประชาชน 13 หลัก เพื่อพิสูจน์ตัวตน ในการนี้ สปสช. จะมีการกำกับติดตามผลงานการให้บริการร่วมกับกรมควบคุมโรค เพื่อเป็นการประเมินการดำเนินงานต่อไป
