xs
xsm
sm
md
lg

สธ.เตรียมเปิด 15 จังหวัดแซนด์บ็อกซ์ เดินหน้าโควิดสู่โรคประจำถิ่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายแพทย์สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 12 และหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ตามที่มีความเป็นกังวลว่าหลังเทศกาลสงกรานต์จะมีการติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งปรากฏว่าจังหวัดทางภาคใต้ เช่น สงขลา ยะลา ปัตตานี เป็นต้น ที่มีการติดเชื้อสูงตั้งแต่ช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ เฉลี่ยทั้งเขตฯ 12 วันละ 3,000 ราย พอหลังเทศกาลสงกรานต์กลับเริ่มเข้าสู่ระยะขาลง เฉลี่ยเหลือวันละ 1,100 ราย มีบางจังหวัดที่การติดเชื้อยังสูงอยู่ เช่น พัทลุง ที่ติดเชื้อวันละมากกว่า 100 ราย

นายแพทย์สุเทพ ยืนยันว่า การที่ตัวเลขติดเชื้อลดลง ไม่ได้เกิดจากการตรวจน้อยลง เพราะตัวเลขสอดคล้องกับผู้ป่วยครองเตียงในสถานพยาบาล ผู้ป่วยอาการรุนแรงที่ลดลงเช่นกัน จากที่เคยเห็นว่าจังหวัดทางภาคใต้ติด 1 ใน 10 จังหวัดพบผู้ติดเชื้อสูงสุด ตอนนี้ก็ไปอยู่ในลำดับที่ 70 ขึ้นไปแล้ว

นายแพทย์สุเทพ กล่าวว่า สำหรับแผนการทำโควิด-19 ให้เป็นโรคประจำถิ่นนั้น นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แจ้งว่า ตอนนี้มี 15 จังหวัดที่สนใจและมีความพร้อมเป็นพื้นที่แซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) ซึ่งทางกรมควบคุมโรคก็ได้ทำหลักเกณฑ์เสร็จแล้ว แต่ต้องหารือกันในที่ประชุม EOC ของกระทรวงสาธารณสุขอีกครั้งก่อน

ทั้งนี้ การกำหนดพื้นที่จังหวัดแซนด์บ็อกซ์ จะเป็นการดึงความมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียงด้วย เพราะประชาชนในพื้นที่ก็อยากทำมาหากินเปิดการค้า กลับมาใช้ชีวิตได้

สำหรับหลักเกณฑ์การเป็นโรคประจำถิ่น จะดูจากจำนวนผู้ติดเชื้อต่อเคสต่อแสนประชากร จำนวนผู้ป่วยรุนแรงและการรองรับในแต่ละจังหวัด อัตราการเสียชีวิตต้องต่ำกว่า 0.1% และการฉีดวัคซีนจะต้องครอบคลุมอย่างน้อย 80% โดยเฉพาะกลุ่มอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงขึ้น ก็คาดว่าวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ จะสามารถทำได้ตามแผนโรคประจำถิ่น

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือ การฉีดวัคซีน โดยเฉพาะเข็มกระตุ้นในกลุ่มเสี่ยงจะต้องมากกว่า 60% การฉีดวัคซีนสำหรับนักเรียนที่เริ่มฉีดเข็มแรกไปช่วงเดือนสิงหาคม 2565 ขณะนี้ก็ต้องฉีดเข็มกระตุ้นก่อนเปิดเทอม และกลุ่มเด็กเล็ก 5-11 ปี ที่ฉีดเข็มที่ 1 ครอบคลุมแล้วประมาณ 50% ก็ต้องฉีดเข็มที่ 2 ตามมาด้วย