โฆษก ศบค.ไฟเขียว ลดวันกักตัวเหลือ 5 วัน จากเดิม 7 วัน พร้อมตรวจหาเชื้อด้วย ATK เห็นชอบเตรียมมาตรการเปิดเทอม พ.ค.นี้ พบอายุ 5-11 ปี ฉีดวัคซีนไม่ตรงเป้า 5.1 ล้านคน
วันนี้ (22 เม.ย.) เมื่อเวลา 12.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงผลการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน ว่า ที่ประชุม ศบค.เห็นชอบแนวทางการจัดการผู้สัมผัสเสี่ยงสูงของผู้ป่วยโควิด และผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากเดิมกักตัว 7 วัน และออกไปทำงานได้สังเกตอาการตัวเอง และออกห่างจากคนอื่น 3 วัน ปรับเป็นลดวันกักตัวเหลือ 5 วัน และสังเกตอาการอีก 5 วัน พร้อมทั้งตรวจหาเชื้อด้วย ATK
โฆษก ศบค. ยังแถลงว่า ที่ประชุม ศบค.เห็นชอบการเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุข สำหรับการเปิดภาคเรียนในเดือน พ.ค.นี้ ภาคเรียนที่ 1/2565 เนื่องจากได้เห็นการติดเชื้อในเด็กตั้งแต่วันที่ 1-16 เม.ย.นี้ โดยเมื่อนำตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมทุกกลุ่มอายุ เปรียบเทียบกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 อายุ 0-19 ปี ยังมีตัวเลขต่ำและไม่มาก 10% ส่วนสาระการผู้เสียชีวิตเปรียบเทียบตามช่วงอายุ 0-5 ปี ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน 28 ราย และ 6-18 ปี ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน 17 ราย
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขได้พูดคุยกับกระทรวงศึกษาธิการ โดยเน้นย้ำนายกฯในฐานะ ผอ.ศบค.อยากให้เด็กเรียนปลอดภัยแบบออนไซต์ โดยจะต้องให้เด็กฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น 3 เข็ม ในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ซึ่งหากพบว่ามีเด็กนักเรียนติดเชื้อ โควิด-19 และเป็นผู้สัมผัสเสียงสูง ก็ให้แยกออกไป นอกจากนี้ โรงเรียนประจำ และโรงเรียนไป-กลับ กรณี ครูนักเรียน หรือบุคลากร เป็นผู้เสี่ยงต่ำ ให้เว้นระยะห่างของนักเรียนในห้องไม่ต่ำกว่า 1 เมตร หากเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง โดยจัดการเรียนการสอนตามมาตรการ Sandbox Safety Zone in School เป็นเวลา 5 วัน และให้ติดตามสังเกตอาการอีก 5 วัน ในโรงเรียนประจำ ส่วนโรงเรียนไปและกลับ กรณีครูหรือบุคลากร เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ให้แยกกับตัวที่บ้านเป็นเวลา 5 วัน และให้ติดตามสังเกตอาการอีก 5 วัน ทั้งนี้ สถิติการฉีดวัคซีนของเด็กอายุ 5-11 ปี เป้าหมายอยู่ที่ 5.1 ล้านคน แต่ได้รับเข็มที่หนึ่งไป 2.5 ล้านคน หรือ 50% เข็มที่สอง 0.29 ล้านคน และเข็มสามยังไม่ได้ ขณะที่อายุ 12-17 ปี ตั้งเป้า 4.7 ล้านคน เข็มที่หนึ่ง 4.3 ล้านคน เข็มที่สอง 3.9 ล้านคน เข็มที่สาม 7.7 ล้านคน ฉะนั้น จึงต้องมีการเพิ่มในเรื่องการฉีดวัคซีน