xs
xsm
sm
md
lg

คาดมีคน “ภูมิคุ้มกัน” ต่ำ 5 แสนคน ไฟเขียวจัดหา LAAB ฉีดกระตุ้น ใช้งบจัดซื้อแอสตร้าฯ เดิม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศบค.เห็นชอบมาตรการเปิดเทอม เร่งฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น 12-17 ปี ย้ำเลือกฉีดไฟเซอร์ครึ่งโดสได้ ผลข้างเคียงน้อยกว่า และเร่งฉีดเข็มปกติอายุ 5-11 ปี เผย พ.ค.เตรียมวัคซีนให้กลุ่มเป้าหมายต่างๆ รวม 7 ล้านโดส เห็นชอบใช้งบซื้อวัคซีนแอสตร้าฯ มาซื้อภูมิคุ้มกัน LAAB ฉีดคนภูมิคุ้มกันต่ำ คาดมี 5 แสนคน
เมื่อวันที่ 22 เม.ย. นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงภายหลังการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ว่า เรื่องที่ 3 คือ การเปิดเรียน ที่ประชุมรับทราบจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ซึ่งการติดเชื้อในช่วงวันที่ 1-21 เม.ย. 2565 ของกลุ่มอายุ 0-19 ปี เมื่อเทียบกับทุกกลุ่มอายุถือว่ายังไม่มาก แต่อัตราเสียชีวิตสำหรับเด็กอายุ 0-5 ปี ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนมีมากที่สุด คือ 28 ราย ส่วนใหญ่มีโรปคระจำตัว มีโรคเรื้อรัง และคอลดก่อนกำหนด ส่วนอายุ 6-18 ปีจำนวน 17 ราย

สำหรับมาตรการเตรียมพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1/2565 เน้นย้ำเรียนปลอดภัยแบบออนไซต์ จึงต้องฉีดเข็มกระตุ้นในระดับมัธยมศึกษา อายุ 12-17 ปี ส่วนระดับประถมศึกษาอายุ 5-11 ปี ก็ต้องเร่งฉีดวัคซีนด้วย ซึ่งจะฉีดผ่านระบบสถานศึกษา สถานศึกษาต้องประเมินตนเองเตรียมพร้อมก่อนเปิดเรียนผ่าน Thai Stop COVID Plus ส่วนนักเรียน ครู บุคลากร ต้องเข้มมาตรการอย่างต่อเนื่อง กรณีพบติดเชื้อโควิดและเป็นผู้สัมผัสเสีย่งสูงให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด ส่วนโรงเรียนประจำ ต้องให้มีมาตรการ Sandbox Safety Zone in School โดยแยกพื้นที่ระหว่างคนปกติ เสี่ยงต่ำ เสี่ยงสูง

การฉีดวัคซีนกลุ่มอายุ 5-11 ปี เป้าหมาย 5.1 ล้านคน ฉีดเข็มแรก 2.5 ล้านคน หรือ 50.3% เข็มสอง 2.9 แสนคน คิดเป็น 5.8% ยังไม่มีการรับเข็มสาม ส่วนอายุ 12-17 ปี เป้าหมาย 4.7 ล้านคน รับเข็มแรก 4.3 ล้านคน คิดเป็น 89.9% เข็มสอง 3.9 ล้านคน คิดเป็น 81.1% และเข็มสาม 7.7 ล้านคน คิดเป็น 1.6% มาตรการตรงนี้นำมาสู่แผนการเพิ่มการเข้าถึงวัคซีน

เรื่องที่ 4 แผนการให้บริการวัคซีน พ.ค. 2565 โดยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เรารณรงค์ให้ฉีดวัคซีน โดย 84.1% รับเข็มแรก 79.7% รับเข็มสอง และ 39.8% ในเข็มสาม ส่วนกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปียังน้อยอยู่ ดังนั้น เป้าหมายของเราตอนนี้จะให้เด็กรับวัคซีนเพิ่มมากขึ้น โดยเด็กกลุ่ม 12-17 ปี เข็มสองที่ไม่ได้ไปฉีดตามนัด ให้ไปฉีดผ่านระบบสถานพยาบาล ส่วนอายุ 5-11 ปี ฉีดเข็มแรกและเข็มสองฉีดผ่านระบบสถานศึกษา และอายุ 12-17 ปีในเข็มกระตุ้นให้ฉีดผ่านระบบสถานศึกษาและสถานพยาบาลได้

“เด็กมีผลข้างเคียงที่จะเกิดภาวะรุนแรงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ สธ.รับทราบข้อมูลจากการวิจัย ถ้าใช้ไฟเซอร์ฝาสีม่วงรับเพียงครึ่งโดส 15 มคก. เทียบกับเต็มโดส 30 มคก. พบว่า ผลข้างเคียงแตกต่างกันเยอะมาก ครึ่งโดสผลข้างเคียงไม่มาก แต่การป้องกันการติดเชื้อโอมิครอนไม่แตกต่างกันคือ 88% และ 93% จึงเห็นชอบให้ฉีดระดับครึ่งโดสในอายุ 12-17 ปี ผู้ปกครองที่พาไปฉีดก็สามารถบอกได้ว่าขอครึ่งโดส” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สำหรับวัคซีนใน พ.ค.มีการเตรียมไว้ 7 ล้านโดส แบ่งตามกลุ่มเป้าหมาย คือ 1. ผู้ที่อายุ 18 ปีขึ้นไป ที่ไม่เคยรับวัคซีน 9 แสนโดส 2. ผู้ที่อายุ 12-17 ปี ที่ไม่เคยรับวัคซีน 1 แสนโดส 3. เด็กอายุ 5-11 ปี เข็มสองและเก็บตกเข็มแรก 2 ล้านโดส และ 4. เข็มกระตุ้นผู้ที่ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป 4 ล้านโดส ส่วนการบริจาควัคซีนให้แก่ต่างประเทศ เห็นชอบจะบริจาคแอสตร้าเซนเนก้าจำนวน 1 ล้านโดส ให้แก่ เอธิโอเปีย 5 แสนโดสให้อัฟกานิสถาน และ 5 แสนโดสแก่ยูกันดา

สำหรับ Long Acting Antibody (LAAB) ซึ่งผู้ผลิตคือแอสตร้าเซนเนก้า ที่เป็นวัคซีนพร้อมใช้ แต่ไม่ใช่การฉีดตัวเชื้อไปกระตุ้นภูมิ แต่อันนี้เอาภูมิคุ้มกันแล้วฉีดให้เข้าไป โดยจะให้แก่คนสร้างภูมิได้น้อย คาดว่า มีประมาณ 5 แสนราย ผู้ป่วยมะเร็ง 2 แสนราย ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 2 แสนราย ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบและแพ้ภูมิตนเอง 1 หมื่นราย ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ 1 หมื่นราย ผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันต่ำอื่นๆ เช่น ผู้ป่วยเอชไอวี 8 หมื่นราย ที่ประชุมเห็นชอบให้ใช้งบประมาณที่เคยอนุมัติในการจัดซื้อวัคซีนแอสตร้าฯ ที่มีจำนวนเพียงพอ ก็เพื่อนำมาเตรียม LAAB ให้แก่คนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ


กำลังโหลดความคิดเห็น