ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ความต้องการและทิศทาง ปฏิรูป อบต. กรณีศึกษาความคิดเห็นประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 1,110 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 1-4 ธันวาคม 2564
ที่น่าพิจารณา คือ เมื่อถามถึงความจริงที่เคยพบเห็นเกี่ยวกับ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) พบว่า ส่วนใหญ่ 68.5 ระบุ มีการจ่ายเงินซื้อเสียง รองลงมา คือ ร้อยละ 66.4 ระบุ คนชนะเลือกตั้งส่วนใหญ่มาจากเครือข่ายผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ร้อยละ 65.5 ระบุ มีปัญหาทุจริต คอร์รัปชัน ในการใช้จ่ายงบประมาณในพื้นที่ ร้อยละ 62.8 ระบุ ขาดการประสานงานที่ดีกับชุมชน มักจะทำงานแบบ อำนาจนิยม เผด็จการ ที่ขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และร้อยละ 61.8 ระบุ ใช้จ่ายงบประมาณทำอะไร ไม่มีการถามความต้องการของประชาชนในพื้นที่
นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 64.0 ระบุ ขาดความโปร่งใสแท้จริง ประชาชนขาดพลังในการตรวจสอบ ร้อยละ 62.0 ระบุ ขาดการบูรณาการกับหน่วยงานอื่นและเครือข่ายการเมืองท้องถิ่นที่เป็นฝ่ายตรงข้าม ร้อยละ 61.8 ระบุ ถูกแทรกแซงการทำงานจากการเมืองระดับชาติ พรรคการเมืองขนาดใหญ่ ร้อยละ 61.3 ระบุ หลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบ ปัญหาทุจริต คอร์รัปชัน จากส่วนกลาง ร้อยละ 61.0 ระบุ ขาดการประชาสัมพันธ์ ประชาชนไม่ค่อยรับรู้ ไม่เข้าใจทิศทางนโยบายและการทำงานต่างๆ ของ อบต.
ที่น่าเป็นห่วง คือ เกินครึ่ง หรือร้อยละ 56.3 พบเห็นค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ในการทอดทิ้งประชาชนอีกพวกหนึ่งที่ไม่เลือกตนเอง ในขณะที่ร้อยละ 25.9 พบเห็นปานกลาง และร้อยละ 17.8 พบเห็นค่อนข้างน้อยถึงไม่เคยพบเห็นเลย
ที่น่าพิจารณาคือ ความต้องการของประชาชนที่พบว่า ส่วนใหญ่เกือบร้อยละร้อย หรือร้อยละ 99.6 ต้องการให้ อบต. ร่วมมือกับ องค์กรต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันต่างๆ ระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และนานาชาติ รองลงมา คือ ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 91.6 ต้องการให้มีการรวมกลุ่มกันของภาคประชาชน เกิดความเข้มแข็งของภาคประชาชน ตรวจสอบการทำงานของ อบต. ร้อยละ 90.7 ต้องการให้มีการทำประชาพิจารณ์รับทราบความต้องการที่แท้จริงของท้องถิ่น ร้อยละ 90.4 ต้องการให้ได้รับการสนับสนุนจากส่วนกลาง ทั้งมหาดไทย และหน่วยงานราชการอื่นๆ มากขึ้น
นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 89.8 ต้องการให้ใช้งบประมาณเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนทุกกลุ่มในพื้นที่ ร้อยละ 89.7 ต้องการให้เปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มในพื้นที่มีส่วนร่วมในการทำงานทุกขั้นตอน ร้อยละ 89.3 ต้องการให้มีการใช้งบประมาณอย่างโปรงใส และร้อยละ 88.2 ต้องการความโปร่งใสในการทำงาน ตรวจสอบได้ ถูกประเมินผลจากหน่วยงานต่างๆ จากส่วนกลาง
ที่น่าสนใจ คือ ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 65.2 ต้องการให้มีการปฏิรูป การทำงานของ อบต. ทั้งระบบ ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ในขณะที่ร้อยละ 24.4 ต้องการปานกลาง และร้อยละ 10.4 ต้องการค่อนข้างน้อยถึงไม่ต้องการเลย
ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล กล่าวว่า ผลโพลชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า กระแสความต้องการของประชาชนชัดเจนในเรื่องการปฏิรูปการทำงานของ อบต. เพราะพบเห็นปัญหาต่างๆ มากมาย ทั้งในเรื่องของการซื้อเสียงเมื่อมีการเลือกตั้ง คนชนะการเลือกตั้งส่วนใหญ่มาจากเครือข่ายผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ก่อให้เกิดปัญหาทุจริตคอร์รัปชันในการใช้จ่ายงบประมาณในพื้นที่ที่ขาดการประสานงานที่ดีกับชุมชน และทำงานแบบเผด็จการ ขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนแท้จริง
นอกจากนี้ ภาคประชาชนยังขาดความเข้มแข็งในการตรวจสอบการทำงานของ อบต. ที่ขาดความโปร่งใส ขาดการบูรณาการกับภาคส่วนอื่นๆ โดยเฉพาะไม่มีการร่วมมือกับการเมืองฝ่ายตรงข้ามในพื้นที่ และถูกแทรกแซงจากพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบการหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน และเลือกปฏิบัติไม่ดูแลกลุ่มประชาชนที่ไม่เลือกตนเอง
ดังนั้น ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้ อบต. ร่วมมือกับองค์กรต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ทั้งระดับท้องถิ่น ระดับชาติ ในการตรวจสอบความโปร่งใสในนโยบาย การทำงาน และการใช้จ่ายงบประมาณ โดยไม่เลือกปฏิบัติดูแลเฉพาะกลุ่มประชาชนที่เลือกตนเอง ประชาชนส่วนใหญ่จึงสะท้อนให้เห็นถึงการเรียกร้องและมีความคาดหวังสูงให้มีการปฏิรูป อบต. โดยเฉพาะ อบต. ชุดใหม่ปี 65 ที่เพิ่งได้รับการเลือกตั้งภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ตามที่สำรวจพบในการศึกษาครั้งนี้