นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงหลักเกณท์การเปิดรับผู้เดินทางเข้าประเทศไทยแบบไม่กักตัวและไม่จำกัดพื้นที่ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นการทยอยเปิดตามห้วงเวลาที่ชัดเจน ด้วยกลยุทธ์การเปิดประเทศอย่างปลอดภัย (Smart Entry) เน้นเฉพาะผู้ที่เดินทางเข้ามาทางอากาศ เบื้องต้น เพื่อสร้างประโยชน์ด้านเศรษฐกิจแก่ภาคธุรกิจ เอกชน ประชาชนควบคู่กับการกำหนดมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเข้มงวด โดยมีมาตรการแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1. คนไทยและต่างชาติที่เดินทางจาก 45 ประเทศ + 1 เขตบริหารพิเศษฮ่องกง เข้ามาโดยไม่จำเป็นต้องมีการกักตัว และสามารถเดินทางได้ทุกจังหวัด เงื่อนไขคือ ผู้ที่จะเดินทางจะต้องพำนักในประเทศที่กำหนดนั้นๆ ต่อเนื่องอย่างน้อย 21 วัน ก่อนที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ยกเว้นคนไทยหรือเดินทางออกจากประเทศไทย ซึ่งต้องมีการจองโรงแรม AQ 1 คืน ระหว่างรอผลตรวจ RT-PCR
2. ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศไหนก็ได้ (กรณีที่ไม่เข้าเกณฑ์ในกลุ่มที่แรก) โดยใช้หลักการเดียวกันโปรแกรมแซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) และต้องเดินทางเข้ามาในพื้นที่นำร่อง 17 จังหวัด (พื้นที่สีฟ้า) คือ ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม มีการตรวจหาเชื้อโควิดก่อนเดินทาง 72 ชั่วโมง ด้วยวิธี RT-PCR และมีประกันสุขภาพอย่างน้อย 50,000 ยูเอสดอลลาร์ จองที่พัก 7 คืน ตามมาตรฐานและต้องเป็นโรงแรมที่อยู่ใน Sandbox area มีการตรวจหาเชื้อซ้ำในวันที่ 6 หรือ 7 สามารถเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่แซนด์บ็อก และเมื่อครบ 7 วันแล้วจึงจะสามารถเดินทางไปยังพื้นที่อื่นได้
3. กรณีกลุ่มคนที่ไม่เข้าเกณฑ์ทั้ง 2 ประเภท เช่น คนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเลย หรือได้รับแล้วยังไม่ครบ สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ภายใต้เงื่อนไขการกักกันในสถานที่ที่ทางราชการกำหนด ทั้งสถานกักกันโรคที่รัฐจัดให้ (SQ) สถานกักกันโรคทางเลือก (AHQ) ที่จัดการโดยเอกชน สถานกักกันโรคของหน่วยงานหรือองค์กร (OQ) และสถานที่กักกันในส่วนของโรงพยาบาล (HQ) ซึ่งเป็นกลุ่มที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยเพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาล โดยแต่ละกรณีจำเป็นต้องเข้ารับการกักตัวซึ่งจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน บางกลุ่มจะมีการกักตัว 7 -10 วัน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลและ ศบค. กำหนดโครงการเปิดประเทศแบบไม่กักตัว เริ่ม 1 พฤศจิกายนนี้ สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย และสถานการณ์ทั่วโลกมีแนวโน้มคลี่คลายดีขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วงระยะเวลาที่ชัดเจน คือ ระยะที่ 1 ช่วงวัน 1-30 พฤศจิกายน 2564 (พื้นที่ 17 จังหวัดนำร่อง) ระยะที่ 2 ช่วงวัน 1-31 ธันวาคม (เมืองหลักหรือจังหวัดที่มีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 15% ของรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมด และเป็นจังหวัดที่มีพรมแดนติดประเทศเพื่อนบ้าน) และระยะที่ 3 ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 (พื้นที่นำร่องด้านเศรษฐกิจ จังหวัดที่มีพรมแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน) ในแต่ละช่วงเวลา จะมีการปรับหลักเกณท์ที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศและประเทศต้นทาง รวมทั้งยังมีการประเมินผลการเข้าราชอาณาจักรทุก 1-2 สัปดาห์ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในของประเทศนั้นๆ เพื่อเป็นการพิจารณาความเหมาะสมของประเทศต้นทางด้วย
ทั้งนี้ ยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญสูงสุดในการเปิดประเทศ คือ การดูแลความปลอดภัยด้านสุขภาพของคนในประเทศ โดยเน้นกำหนดประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ มีเกณท์การฉีดวัคซีนสูง นักท่องเที่ยวต้องได้รับวัคซีนและมีผลตรวจ RT-PCR ขณะเดียวกัน ขอคนไทยสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว ด้วยการปฏิบัติตนเองตามมาตรการสาธารณสุข ดูแลตนเองแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention) และทุกกิจการ/กิจกรรม ต้องยึดหลัก COVID-19 Free Setting เพราะขณะนี้ได้ผ่อนคลายมาตรการและไม่จำกัดการเดินทาง แลว ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีไม่ต้องการกลับมาใช้มาตรการควบคุมหรือล็อกดาว์น เพราะจะทำให้พี่น้องประชาชนและภาคธุรกิจได้รับผลกระทบอีก มั่นใจว่าทุกคนจะร่วมมือร่วมใจร่วมกันเดินหน้าประเทศไทย เพราะความสำเร็จในการเปิดประเทศขึ้นอยู่กับคนไทยทุกคนต้องร่วมมือกัน