นายแพทย์ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุถึงสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย ว่า จำนวนติดเชื้อใหม่เมื่อวาน สูงเป็นอันดับ 5 ของโลก ตอนนี้จำนวนผู้ป่วยรุนแรงและวิกฤติของไทยมีมากเป็นอันดับ 6 ของโลก และเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย
พร้อมคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นด้วยสภาวะแวดล้อมด้านนโยบายปัจจุบัน
หนึ่ง การระบาดระลอกสามจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และจะทวีความรุนแรงขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี
สอง จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่จะยังคงเป็นไปในลักษณะเดิม โดยมีจำนวนมากที่ประสบปัญหาการเข้าถึงบริการตรวจคัดกรองโรคแบบมาตรฐาน ยังคงมีจำนวนไม่น้อยที่ซื้อหาชุดตรวจเอง (ทั้งที่มีคุณภาพหรือไม่มีคุณภาพ) หรือตรวจโดย ATK แล้วไม่ได้นำมารวมในระบบรายงานประจำวัน ปัญหาผลลบปลอมจะทำให้เกิดการติดเชื้อแพร่เชื้อไปได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในที่อยู่อาศัย (บ้าน หอพัก คอนโด ชุมชน) และที่ทำงาน
สาม การใช้เงินที่กู้มาทั้งสองครั้ง ชี้ให้เห็นแล้วว่าละลายไปโดยได้ผลน้อยกว่าที่คาดหวัง ดังนั้นหากกู้เงินอีก 1 ล้านล้านบาทมาเป็นครั้งที่ 3 เพื่อหวังจะกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งๆ ที่โรคระบาดยังรุนแรง กระจายไปทั่ว และไม่สามารถตัดวงจรการระบาดได้ ก็จะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอีกครั้ง แต่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นครั้งนี้จะมากมายมหาศาล โดยเป็นการก่อหนี้ให้กับประชาชนทั้งประเทศ แต่ไม่เกิดประโยชน์ ตราบใดที่ไม่ปรับเปลี่ยนนโยบายให้มุ่งตัดวงจรการระบาดให้ได้
สี่ คาดว่าผลของกล่องทรายจะเห็นได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปลายสิงหาคมเป็นต้นไป และจะประจักษ์ชัดแบบกู้กลับได้ยากในไตรมาสสุดท้ายของปี หากเป็นไปตามบทเรียนที่เห็นจากพื้นที่ที่เคยระบาดหนักแล้วไม่ตัดวงจรการระบาด ที่ปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ระบาดรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่า การระบาดจากกล่องทรายนั้น ไม่ได้มาจากความเสี่ยงเรื่องการนำเข้าจากต่างประเทศ แต่จะมาจากการมีจำนวนคนเพิ่มขึ้น กิจการกิจกรรมต่างๆ ที่มีการพบปะ สัมผัส ใกล้ชิด กันมากขึ้นจนเป็นตัวกระตุ้นให้การติดเชื้อที่มีอยู่ในชุมชนขยายวงขึ้นนั่นเอง
ห้า ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดยาวนาน จะทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ในสังคมยืนระยะไม่ไหว โดยจะเห็นได้ชัดตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี อัตราประชากรที่อยู่ในภาวะยากจน (below poverty line) จะสูงขึ้น รวมถึงผลกระทบต่อระบบบริการและสถานะสุขภาพของประชากรที่เจ็บป่วยด้วยโรคอื่นๆ จะมีมากขึ้น ชัดเจนขึ้น
พร้อมแนะหนทางแก้ไข ดังนี้
- หยุดนิ่ง ปูพรมตรวจคัดกรองโรคให้ครอบคลุมและต่อเนื่องจนกว่าจะกดการระบาดได้
- ยุตินโยบายเปิดเกาะ เปิดท่องเที่ยว เปิดประเทศ
- ใช้เงินกู้ให้ถูกต้องเหมาะสม ไม่ควรอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจในยามที่ระบาดหนักและยังควบคุมไม่ได้
- ปรับเปลี่ยนวงนโยบายและวงวิชาการด้านควบคุมป้องกันโรค และวัคซีน
- เปลี่ยนนโยบายวัคซีนหลัก ใช้ความรู้ที่พิสูจน์ด้านผลการป้องกันโรค ลดความรุนแรง ลดโอกาสเสียชีวิต ไม่ใช่ใช้ผลทดลองจำนวนน้อยที่นำเสนอเพียงระดับภูมิคุ้มกัน ซึ่งไม่ใช่ผลลัพธ์ทางคลินิกหลักที่ต้องการจากวัคซีน
- วัคซีนที่ควรนำมาใช้ต่อสู้คือ วัคซีนที่มีผ่านขั้นตอนพิสูจน์ตามมาตรฐานสากล
สำหรับประชาชนทุกคน ขอให้ป้องกันตัวอย่างเต็มที่ ใส่หน้ากากสองชั้น ชั้นในเป็นหน้ากากอนามัย ชั้นนอกเป็นหน้ากากผ้า