นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง "ประชาชนคิดอย่างไรต่อการเปิดประเทศใน 120 วัน" กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 1,069 ตัวอย่าง พบว่า
ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 91.4 เห็นด้วยต่อการเปิดประเทศ ควบคู่ไปกับการควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อโรคโควิด-19 หลังจากทุกคนได้วัคซีนเข็มแรก
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 94.9 เชื่อว่าความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ยังส่งผลดีต่อการควบคุมโควิด-19 ร้อยละ 92.7 ระบุ เกิดการแพร่ระบาดที่ไหนให้ปิดเฉพาะพื้นที่นั้น ไม่ใช่ปิดทั้งประเทศ ร้อยละ 88.7 ระบุ ความตื่นตัว กระตือรือร้นป้องกันการแพร่ระบาดของภาคประชาชนกันเองในแต่ละพื้นที่ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการเปิดประเทศได้ตามที่กำหนด ร้อยละ 88.2 ระบุ ความพร้อมด้านระบบสาธารณสุขไทยส่งผลดีต่อการควบคุมโรคแ ละร้อยละ 86.9 ระบุ นโยบายดีและมาตรการที่ชัดเจนของรัฐบาลจะช่วยให้เกิดความเชื่อมั่นในการเปิดประเทศได้
ที่น่าเป็นห่วง คือ ความกังวลของประชาชนที่พบว่าส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 96.3 กังวลต่อการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย แรงงานต่างชาติ เจ้าหน้าที่รัฐปล่อยปละละเลย ร้อยละ 92.7 กังวลต่อการมั่วสุม พนัน เสพยาเสพติด แหล่งแพร่ระบาดโควิด ร้อยละ 92.6 กังวลต่อสถานบันเทิงที่ผิดกฎหมาย ร้อยละ 91.6 กังวลต่อโควิดสายพันธุ์ใหม่รุนแรงกว่าเดิมเข้าไทยอีก ร้อยละ 89.5 กังวลว่าวัคซีนมีไม่เพียงพอ ไม่ถึงเป้าหมายฉีดครบใน 120 วัน ร้อยละ 83.9 กังวลต่อการรวมตัวกันและชุมนุมทางการเมือง และร้อยละ 74.0 กังวลต่อประชาชนไม่มีวินัย การ์ดตก ไม่เคร่งครัดควบคุมโรค นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 92.9 สับสนในการสื่อสารของหน่วยงานรัฐไม่ตรงกัน ในขณะที่ร้อยละ 7.1 ไม่สับสน
ที่น่าพิจารณา คือ ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 98.4 ต้องการให้รัฐมีมาตรการเข้มงวดจริงจังแก้โควิด และส่งเสริมให้ประชาชนมีวินัย การ์ดไม่ตก ร้อยละ 94.9 ต้องการให้ประชาชนได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2565 เพียงพอสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และร้อยละ 84.7 ต้องการให้รัฐบาลมีนโยบายแก้ปัญหาเด็กไทยเสียโอกาสทางการศึกษามาช่วงเวลาร่วม 2 ปี
ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล กล่าวว่า ผลสำรวจนี้ชี้ให้เห็นว่า ประชาชนเห็นด้วยกับนโยบายรัฐบาลในการเปิดประเทศ 120 วัน ควบคู่ไปกับการควบคุมโรคโควิด-19 หลังจากทุกคนได้วัคซีนเข็มแรก และมีความต้องการได้เข็มสองภายในต้นปี ยังมีความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขและความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ไทยในการควบคุมโรค โดยเห็นว่าเกิดการแพร่ระบาดที่ไหนให้ปิดเฉพาะพื้นที่ ไม่เหมารวมปิดทั้งประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบสร้างความเสียหายต่อทุกคนและระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น ความกระตือรือร้นป้องกันการแพร่ระบาดของภาครัฐและภาคประชาชนในแต่ละพื้นที่ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นร่วมกันในการเปิดประเทศได้ตามที่กำหนด
อย่างไรก็ตาม ประชาชนยังกังวลในหลายเรื่องที่จะทำให้ทุกอย่างไม่เป็นไปตามสิ่งที่คาดหวังไว้ ได้แก่ การลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายของแรงงานต่างด้าว เจ้าหน้าที่ปล่อยปละละเลยให้มีการทำผิดกฎหมาย ทั้งการมั่วสุมพนัน แหล่งบันเทิงและยาเสพติด ซึ่งเป็นแหล่งแพร่ระบาดของโรค นอกจากนี้ ประชาชนยังกังวลถึงโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิมเข้าไทย และวัคซีนมีไม่เพียงพอและฉีดไม่ครบเป้าหมายใน 120 วัน ขณะเดียวกัน การรวมตัวชุมนุมทางการเมืองและประชาชนไม่มีวินัย การ์ดตก ไม่เคร่งครัดควบคุมโรค ทั้งนี้ ยังมีประเด็นน่าสนใจที่อาจถูกมองข้าม คือ การแก้ปัญหาเด็กไทยเสียโอกาสทางการศึกษาตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และความสับสนของประชาชนต่อการสื่อสารของหน่วยงานรัฐที่ไม่ตรงกันที่ผ่านมา
นายนพดล กล่าวต่อว่า เป้าหมายการเปิดประเทศใน 120 วัน เป็นทั้งความหวัง ความเสี่ยง และความท้าทายร่วมกันของทุกภาคส่วน เพื่อให้ประเทศไปต่อและเราทุกคนกลับมาใช้ชีวิตปกติ โดยยังคงมาตรการควบคุมโรค ที่ทุกฝ่ายต้องการ์ดไม่ตกและไม่ประมาท ความเสี่ยงร่วมกันจากข้อกังวลต่างๆ ถือเป็นความท้าทายที่ทุกฝ่ายต้องทำหน้าที่และมีส่วนร่วมรับผิดชอบกันอย่างจริงจัง ทั้งนโยบายที่เข้มแข็ง ตรงเป้าของรัฐบาล ความจริงใจและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของภาคการเมือง ความจริงจังในหน้าที่ของทุกส่วนราชการ ภาคเอกชนที่สนับสนุนเกื้อกูลกัน และที่สำคัญคือ ภาคประชาชนที่ต้องมีหน้าที่ มีส่วนร่วมและรับผิดชอบร่วมกัน โดยถือเป็นแผนปฏิบัติการระดับชาตินับถอยหลัง 120 วัน ที่ทุกคนต้องมีหน้าที่และประเมินร่วมกันอย่างชัดเจน อีกทั้งการเยียวยาทางการศึกษา ถือเป็นอีกเรื่องเร่งด่วนสำคัญยิ่งที่สังคมต้องการให้รัฐเข้าไปดูแลและให้ความสำคัญ