พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีตำรวจจับกุมหญิงสาวขับรถเก๋งเบนซ์สีดำ ขับรถเฉี่ยวชนยานพาหนะผู้อื่นตั้งแต่แยกแยกแคราย มาจนถึงถนนพระราม 6 ซึ่งผู้ได้รับความเสียหายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายรายนั้น ได้รับรายงานว่า เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2563 เวลาประมาณ 22.00 น. รับแจ้งเหตุมีผู้ขับรถยนต์เฉี่ยวชนแล้วหลบหนีมีรถได้รับความเสียหายและผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย บริเวณ ถนนกำแพงเพชร แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ จึงแจ้งสกัดจับและเข้าทำการตรวจสอบที่เกิดเหตุ เมื่อมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ รถคันดังกล่าวถูกพลเมืองดี และเจ้าหน้าที่ตำรวจล้อมจับไว้ที่บริเวณหน้าโชว์รูมอีซูซุ ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ จากการตรวจสอบพบเป็นรถยนต์ ยี่ห้อเมอร์เซเดส เบนซ์ รุ่น E250d สีดำ หมายเลขทะเบียนป้ายแดง ฐ-0710 กรุงเทพมหานคร สภาพด้านหน้ามีร่องรอยการเฉี่ยวชน กระจกด้านหลังถูกทุบจนแยกเสียหาย ภายในรถพบ ผู้ขับขี่เป็นหญิง อายุ 37 ปี สวมชุดเดรสลายดอกสีฟ้า มีแผลแตกบริเวณคิ้วขวา เจ้าหน้าที่กู้ภัยร่วมกตัญญูจึงได้ปฐมพยาบาลก่อนนำตัวมายัง สน.บางซื่อ โดยจากเหตุการณ์นี้ มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายราย เบื้องต้นมีรถยนต์ 1 คัน และรถจักรยานยนต์ 2 คัน ได้รับความเสียหาย
รอง โฆษกสำนักงานตำรวจฯ กล่าวอีกว่า ขั้นตอนยังอยู่ระหว่างการสอบปากคำ เนื่องจากผู้ต้องหายังไม่สามารถให้การได้ ซึ่งจากการตรวจวัดแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดพบปริมาณแอลกอฮอล์ 257 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเบื้องต้นได้ส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลเปาโล สะพานควาย ก่อนจะควบคุมตัวกลับมาแจ้งข้อหาในความผิดฐาน ขับรถในขณะเมาสุราหรือสิ่งของมึนเมาอย่างอื่น ขับรถโดยประมาทเฉี่ยวชนผู้อื่นเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหาย ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือ และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ ทั้งหมด 4 ข้อหา
อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรในทุกพื้นที่และกองบังคับการตำรวจจราจร กวดขันการตรวจสอบการขับขี่ยานพาหนะขณะเมาสุราและด่านตรวจแอลกอฮอล์ต่างๆ อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและลดอัตราความสูญเสียต่างๆ พร้อมเน้นย้ำในการสร้างช่องทางการรับรู้ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพิ่มมาตราการในการป้องกัน สร้างความตระหนักในการใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง โดยดำเนินการควบคู่กันไปทั้งการปลูกจิตสำนึกและบังคับใช้กฎหมาย เพื่อสร้างความปลอดภัยในสังคม รวมทั้งดูแลชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
รอง โฆษกสำนักงานตำรวจฯ กล่าวอีกว่า ขั้นตอนยังอยู่ระหว่างการสอบปากคำ เนื่องจากผู้ต้องหายังไม่สามารถให้การได้ ซึ่งจากการตรวจวัดแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดพบปริมาณแอลกอฮอล์ 257 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเบื้องต้นได้ส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลเปาโล สะพานควาย ก่อนจะควบคุมตัวกลับมาแจ้งข้อหาในความผิดฐาน ขับรถในขณะเมาสุราหรือสิ่งของมึนเมาอย่างอื่น ขับรถโดยประมาทเฉี่ยวชนผู้อื่นเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหาย ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือ และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ ทั้งหมด 4 ข้อหา
อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรในทุกพื้นที่และกองบังคับการตำรวจจราจร กวดขันการตรวจสอบการขับขี่ยานพาหนะขณะเมาสุราและด่านตรวจแอลกอฮอล์ต่างๆ อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและลดอัตราความสูญเสียต่างๆ พร้อมเน้นย้ำในการสร้างช่องทางการรับรู้ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพิ่มมาตราการในการป้องกัน สร้างความตระหนักในการใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง โดยดำเนินการควบคู่กันไปทั้งการปลูกจิตสำนึกและบังคับใช้กฎหมาย เพื่อสร้างความปลอดภัยในสังคม รวมทั้งดูแลชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน