นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการออกคำสั่งให้มีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในผู้ป่วยทุกรายที่รักษาในโรงพยาบาล (Admit) เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ที่ผ่านมา ว่า การออกคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งต่อเนื่องจากการประชุมเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม เพราะในช่วงเดือนเมษายน การระบาดของโรคโควิด-19 มีการติดเชื้อในโรงพยาบาลหลายกรณี เช่น ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ที่ชุมพร เป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์ ที่โรงพยาบาลในจังหวัดนราธิวาส ที่มีคนไข้ติดเชื้อจากเตียงข้างเคียง รวมถึงกรณีคุณลุงที่ไปตัดผม ก็มีการติดเชื้อในโรงพยาบลเช่นกัน นอกจากนี้ ที่ผ่านมายังพบว่ามีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อเป็นร้อยราย จึงคิดว่าต้องมีการเพิ่มการตรวจมากขึ้น
นายแพทย์สุขุม กล่าวต่อว่า ระยะแรกมี2 ราย คิดเป็นอัตรา 0.12% ทำให้กังวลว่าคนไข้ 1,000 คน จะมีคนติดเชื้อ 1 คน ถ้า 10,000 คน จะติด 100 คน ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขกรณีโรคติดเชื้อโควิด-19 จึงมีการพิจารณาว่า เพื่อให้มีความปลอดภัยในการเข้ารับบริการในโรงพยาบาลที่ปลอดภัยมากขึ้น ควรให้ตรวจผู้ป่วยแอดมิตทุกราย อย่างไรก็ตาม วันนี้มีข้อมูลจากกรมการแพทย์ และคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่างๆ พบว่าประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่พบการติดเชื้อในโรงพยาบาลรายใหม่เลย จากการตรวจสุ่มกว่า 7,000 ราย
ดังนั้น จึงจะมีการประชุมในบ่ายวันนี้ (9 มิ.ย.) เพื่อทบทวนมาตรการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในโรงพยาบาล คิดว่าอาจจะมีการผ่อนปรน เพราะตอนนี้ผู้ป่วยน้อยลง และหากดูมติจริงๆ คือมติเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม แนวทางอาจจะดูให้เหมาะสม การปรับอาจจะให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เป็นไปตามสถานการณ์ โดยจะมีอยู่ 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่มีความเสี่ยงว่าเป็นโรค คนต้องทำหัตถการแล้วแพทย์สงสัย ผู้ป่วยหนักที่ต้องเข้าไอซียู และการสุ่มตรวจเป็นระยะๆ เพราะวันนี้การระบาดน้อยลง แต่คงต้องสุ่มตรวจเป็นระยะ