นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ชี้แจงถึงรายงานข่าวที่ระบุว่าญี่ปุ่นจะบริจาคยาฟาวิพิราเวียร์ ที่ใช้ในการรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้กับ 30 ประเทศ ว่า จากการสอบถามทางการญี่ปุ่นยังไม่มีข้อมูลในเรื่องดังกล่าว แต่เป็นบริษัทเอกชนญี่ปุ่นซึ่งไม่ใช่การบริจาค แต่เป็นการทำวิจัย ไม่ได้ให้ผู้ป่วยทุกคน ซึ่งยาดังกล่าวมีรายงานจากการรักษาว่าได้ผลจริง แต่ญี่ปุ่นต้องการศึกษาเปรียบเทียบกรณีต่างๆ อย่างชัดเจน แต่ชีวิตผู้ป่วยจะรอช้าไม่ได้ โดยขณะนี้ไทยใช้ยาฟาวิพิราเวียร์มากที่สุดวันละ 2,000 เม็ด
ขณะที่นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาไทยได้เตรียมพร้อมและจัดซื้อยาฟาวิพิราเวียร์จากญี่ปุ่น 5,000 เม็ด ได้รับบริจาคจากจีน 2,000 เม็ด และเมื่อเดือนมีนาคม 2563 จัดซื้อรวม 87,000 เม็ด แต่มีผู้ป่วยต้องใช้ยา 515 ราย ขณะนี้เหลือยาฟาวิพิราเวียร์ 38,126 เม็ด จึงได้สั่งซื้อจากจีนเพิ่ม 100,000 เม็ด โดยจะส่งมอบวันพรุ่งนี้ และสั่งซื้อจากญี่ปุ่นอีก 100,000 เม็ด ยืนยันว่า จะกระจายไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ และขอให้ใช้อย่างมีเหตุผล เพราะจำเป็นต้องสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ให้ถึง 1 ล้านเม็ด
ด้านนายวิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า โรคโควิด-19 ต้องใช้ยา 7 รายการ ในการรักษา ส่วนใหญ่สามารถผลิตได้ในประเทศ และสำรองเพียงพอ ยกเว้นยาฟาวิพิราเวียร์ที่ต้องนำเข้า ซึ่งไทยพยายามหายาดังกล่าวตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 แต่ได้ยามาจำนวนไม่มากนัก เพราะเป็นที่ต้องการจากทั่วโลก ส่วนเหตุผลที่ตั้งเป้าให้มีสำรองยาให้ถึง 1 ล้านเม็ด เพราะมีผู้ป่วยเพิ่มวันละหลักร้อยคน ป่วยสะสม 2,169 ราย เสียชีวิต 23 ราย หากไม่ใช้ยาดังกล่าวอาจจะมีตัวเลขเสียชีวิตมากกว่านี้