xs
xsm
sm
md
lg

นิด้าโพลเผย ปชช.หนุนศาลพิจารณาคดีอาญานักการเมืองลับหลัง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น สถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้าโพล เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนจากทุกภูมิภาคจำนวน 1,251 คน เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ทั้งนี้ ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับศาล ควรมีอำนาจพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ โดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย กรณีจำเลยไม่มาศาลหรือจับจำเลยไม่ได้ภายใน 3 เดือน พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 69.54 ระบุว่า เห็นด้วย เพราะถือว่าจำเลยมีเจตนาที่จะหลบหนีคดี หากรอให้จำเลยมาให้การ อาจใช้ระยะเวลานาน คดีไม่คืบหน้าจนหมดอายุความในที่สุด การพิจารณาคดีจะได้รวดเร็วขึ้น และศาลได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความยุติธรรมอยู่แล้ว รองลงมา ร้อยละ 25.58 ระบุว่าไม่เห็นด้วย เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงหรือไม่ ศาลไม่ควรสรุปความหรือพิจารณาโดยไม่สอบถามจำเลย อาจเกิดความไม่ยุติธรรมแก่จำเลย ควรให้จำเลยได้มีโอกาสในการแก้ต่างในชั้นศาล ทั้งนี้ เป็นการให้อำนาจศาลมากเกินไป ร้อยละ 0.80 ระบุว่า ควรพิจารณาเป็นรายคดีไป และร้อยละ 4.08 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ

ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ว่าควรมีอายุความหรือไม่ (วันหมดอายุคดีความ) พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 48.44 ระบุว่า ไม่ควรมีอายุความ เพราะเป็นการป้องกันจำเลยหลบหนีความผิดด้วยการออกนอกประเทศ และรอให้จนคดีหมดอายุความคนทำผิดควรรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้กระทำไว้ และจะได้ไม่ลอยนวล ขณะที่ร้อยละ 47.96 ระบุว่า ควรมีอายุความ เพราะควรใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับคดีอาญาทั่วไปเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน และเป็นการกระตุ้นให้เกิดการทำงานให้มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยมีเวลาเป็นตัวกำหนด หากจำเลยไม่มีความผิดก็จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมสำหรับจำเลยไปตลอดชีวิต ร้อยละ 1.04 ระบุว่าควรพิจารณาเป็นรายคดีไป และร้อยละ 2.56ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ

สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อกฎหมายคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ว่าควรมีผลบังคับย้อนหลังหรือไม่ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 66.19 ระบุว่า ควรมีผลบังคับย้อนหลัง เพราะคดีเก่า ๆ หลายคดียังไม่ได้รับการสะสางหรือยังค้างคา ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศ กลุ่มนักการเมืองที่เคยทำผิดในอดีตจะได้ไม่ต้องลอยนวล และควรรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ควรมีการสร้างมาตรฐานใหม่ ๆ เพื่อไม่ให้นักการเมืองกระทำผิดเป็นแบบอย่างได้ รองลงมา ร้อยละ 26.78 ระบุว่า ไม่ควรมีผลบังคับย้อนหลัง เพราะไม่ถูกต้องตามหลักของกฎหมาย ทำให้เสียเวลาในการพิจารณาคดี และอาจเกิดความวุ่นวายตามมา ควรเข้มงวดกับคดีใหม่ ๆ ให้มากขึ้น ร้อยละ 2.72 ระบุว่า ควรพิจารณาเป็นรายคดีไป ขึ้นอยู่กับความผิดและความร้ายแรงของคดีและร้อยละ 4.31 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ

ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ว่าจะช่วยลดการทุจริตและลดการเอื้อประโยชน์แก่ส่วนตนหรือพวกพ้องได้มากน้อยเพียงใด พบว่า ประชาชน ร้อยละ 24.70 ระบุว่า ช่วยได้มาก เพราะเป็นการสร้างความเกรงกลัวให้กับนักการเมือง ทำให้นักการเมืองเกิดความยับยั้งชั่งใจที่จะกระทำความผิดและคิดว่ากฎหมายดังกล่าวน่าจะถูกนำมาใช้อย่างจริงจัง และเข้มงวด ร้อยละ 54.20 ระบุว่า ช่วยได้ในระดับหนึ่ง เพราะเป็นมาตรการที่มีความชัดเจน นักการเมืองจะได้เกิดความเกรงกลัว โดยเฉพาะนักการเมืองที่มีทั้งเงินและอำนาจ ซึ่งจะเอื้อให้ตนเองพ้นความผิดได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถลดการทุจริตคอร์รัปชันได้ เพราะกฎหมายมักมีช่องโหว่ และมีช่องทางในการทุจริตที่หลากหลาย ร้อยละ 13.59 ระบุว่า ช่วยไม่ได้เลย เพราะการทุจริตคอร์รัปชัน กลายเป็นสิ่งที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทยมาช้านาน นักการเมืองมักเห็นผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม ประกอบกับการบังคับใช้กฎหมายยังไม่มีความเข้มงวดพอที่จะลงโทษนักการเมืองให้เห็นเป็นตัวอย่างได้ เป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ และร้อยละ 7.51 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
กำลังโหลดความคิดเห็น