พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับรายงานจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า มีหน่วยงานของรัฐ 9 หน่วย ยื่นความจำนงที่จะใช้ยางพาราในภารกิจของตนอย่างแน่นอน คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกรุงเทพมหานคร แบ่งเป็นปริมาณน้ำยางข้น 22,321.54 ตัน และยางแห้ง 2,952.66 ตัน คิดเป็นงบประมาณทั้งสิ้น 16,925,626,588.57 บาท โดยนายกรัฐมนตรีได้เร่งรัดให้ทั้ง 9 หน่วยงาน ดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อกระตุ้นการรับซื้อยางใช้ภายในประเทศจากพี่น้องเกษตรกรให้ได้ก่อนสิ้นปีงบประมาณ 2560 โดยเฉพาะหน่วยงานที่ได้ตั้งงบปกติไว้แล้ว และหน่วยงานที่จะใช้งบเหลือจ่าย ส่วนบางหน่วยงานที่จะขอเบิกจากงบกลางให้ประสานไปยังสำนักงบประมาณ เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี 2561
ทั้งนี้ รายการผลิตภัณฑ์ยางที่แต่ละหน่วยงานจะนำไปใช้มีทั้งสิ้น 23 รายการ เช่น ถุงฝายยาง แผ่นรองคอสะพาน ท่อดูดน้ำและส่งน้ำ แผ่นยางกันซึม ยางคั่นรอยต่อพื้นคอนกรีต แผ่นยางปูคอกปศุสัตว์ ยางปูสนามฟุตซอล รองเท้าบู๊ทยาง ถุงมือยาง เป็นต้น โดยขณะนี้กรมชลประทานได้นำร่องรับมอบยางจากการยางแห่งประเทศไทยแล้ว จำนวน 100 ตัน เพื่อใช้เป็นวัสดุซ่อมแซมถนนลาดยางที่อยู่ในความดูแลราว 3,000 กม.
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ติดตามความคืบหน้าของการจัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพราคายาง ที่การยางแห่งประเทศไทยจะร่วมกับผู้ประกอบการส่งออกยางรายใหญ่ของประเทศ 5 บริษัทลงทุนร่วมกัน องค์กรละ 200 ล้านบาท เข้าซื้อยางในตลาด โดยกำชับให้เร่งดำเนินการโดยเร็ว เพราะถือเป็นนวัตกรรมการบริหารจัดการที่จะช่วยให้ราคายางกลับสู่ดุลยภาพได้เร็วขึ้น และส่งผลดีต่อราคายางในอนาคต
ทั้งนี้ รายการผลิตภัณฑ์ยางที่แต่ละหน่วยงานจะนำไปใช้มีทั้งสิ้น 23 รายการ เช่น ถุงฝายยาง แผ่นรองคอสะพาน ท่อดูดน้ำและส่งน้ำ แผ่นยางกันซึม ยางคั่นรอยต่อพื้นคอนกรีต แผ่นยางปูคอกปศุสัตว์ ยางปูสนามฟุตซอล รองเท้าบู๊ทยาง ถุงมือยาง เป็นต้น โดยขณะนี้กรมชลประทานได้นำร่องรับมอบยางจากการยางแห่งประเทศไทยแล้ว จำนวน 100 ตัน เพื่อใช้เป็นวัสดุซ่อมแซมถนนลาดยางที่อยู่ในความดูแลราว 3,000 กม.
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ติดตามความคืบหน้าของการจัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพราคายาง ที่การยางแห่งประเทศไทยจะร่วมกับผู้ประกอบการส่งออกยางรายใหญ่ของประเทศ 5 บริษัทลงทุนร่วมกัน องค์กรละ 200 ล้านบาท เข้าซื้อยางในตลาด โดยกำชับให้เร่งดำเนินการโดยเร็ว เพราะถือเป็นนวัตกรรมการบริหารจัดการที่จะช่วยให้ราคายางกลับสู่ดุลยภาพได้เร็วขึ้น และส่งผลดีต่อราคายางในอนาคต