นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวเนื่องในวันต่อต้านยาเสพติดโลก ว่า ปัญหาหลักที่ประเทศไทยและทั่วโลกเผชิญคือ ยาบ้า หรือสารเมทแอมเฟตามีน มีผู้เสพสารชนิดนี้ทั่วโลกมากกว่า 33 ล้านคน และกำลังสร้างปัญหาใหญ่ให้กับวงการจิตเวชทั่วโลก เนื่องจากสารชนิดนี้จะเข้าไปทำลายสมอง ก่อให้เกิดทั้งผู้ป่วยโรคจิตเวชรายใหม่และที่น่าวิตกมีผลการศึกษาในหลายประเทศพบว่า ผู้ป่วยโรคจิตเภท เสพยาบ้าร่วมด้วยถึงร้อยละ 11-31 แนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มากกว่าคนทั่วไป 5 เท่าตัว ส่วนในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตอื่น มีโอกาสใช้สารแอมเฟตามีนสูงกว่าคนทั่วไป 3 เท่าตัว
ทั้งนี้ ที่ประชุมสมาคมจิตแพทย์ทั่วโลกประจำปี 2560 ได้แสดงความกังวลและเน้นย้ำถึงความสำคัญ เนื่องจากยังไม่มีตัวยาใดที่ใช้รักษา หรือถอนพิษหรือใช้ทดแทนยาบ้าที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยจิตเภทที่ใช้ยาบ้าร่วมด้วย ส่งผลให้ประสิทธิภาพการรักษาต่ำลง เกิดอาการทางจิตเพิ่มขึ้นเช่นก้าวร้าวรุนแรง ระดับความซึมเศร้าสูงขึ้น มีความเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงขึ้น เป็นเหตุต้องกลับเข้ารักษาในโรงพยาบาลซ้ำและถี่ขึ้น เป็นภาระแก่ผู้ดูแล ค่ารักษาพยาบาลสูงขึ้น
สำหรับผลการศึกษากรมสุขภาพจิต ปี 2559 พบว่าผู้ป่วยจิตเภทหลังรักษามีอาการกำเริบต้องกลับเข้ารักษาในโรงพยาบาลซ้ำอีกอยู่ที่ร้อยละ 31 โดยมีต้นเหตุสำคัญมาจากการใช้สารเสพติด ที่ใช้มากที่สุด ได้แก่ ยาบ้ารองลงมา คือ สุรา มีอัตราการใช้สูงถึงร้อยละ 50 บางแห่ง สาเหตุที่ผู้ป่วยหันไปเสพยาบ้าได้แก่ เพื่อให้เกิดมึนเมา ลดความไม่สบายใจ ความวิตกกังวล ลดความประหม่าในการเข้าสังคม บางรายใช้ลดความไม่สุขสบายจากฤทธิ์ยาและลดอาการประสาทหลอนของตัวเองเมื่อขาดยา รวมทั้งเพื่อนชักชวน ผู้ป่วยจะมีอาการหูแว่ว เช่น ได้ยินเสียงคนพูดทั้งๆที่ไม่มีคนพูด ประสาทหลอน ระแวงคิดว่าจะมีคนมาทำร้าย วอกแวก ขาดสมาธิ ซึ่งเป็นอาการทางจิตที่รุนแรงขึ้น เป็นอันตรายทั้งต่อผู้ป่วยเองและสังคมรอบข้าง
ทั้งนี้ ที่ประชุมสมาคมจิตแพทย์ทั่วโลกประจำปี 2560 ได้แสดงความกังวลและเน้นย้ำถึงความสำคัญ เนื่องจากยังไม่มีตัวยาใดที่ใช้รักษา หรือถอนพิษหรือใช้ทดแทนยาบ้าที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยจิตเภทที่ใช้ยาบ้าร่วมด้วย ส่งผลให้ประสิทธิภาพการรักษาต่ำลง เกิดอาการทางจิตเพิ่มขึ้นเช่นก้าวร้าวรุนแรง ระดับความซึมเศร้าสูงขึ้น มีความเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงขึ้น เป็นเหตุต้องกลับเข้ารักษาในโรงพยาบาลซ้ำและถี่ขึ้น เป็นภาระแก่ผู้ดูแล ค่ารักษาพยาบาลสูงขึ้น
สำหรับผลการศึกษากรมสุขภาพจิต ปี 2559 พบว่าผู้ป่วยจิตเภทหลังรักษามีอาการกำเริบต้องกลับเข้ารักษาในโรงพยาบาลซ้ำอีกอยู่ที่ร้อยละ 31 โดยมีต้นเหตุสำคัญมาจากการใช้สารเสพติด ที่ใช้มากที่สุด ได้แก่ ยาบ้ารองลงมา คือ สุรา มีอัตราการใช้สูงถึงร้อยละ 50 บางแห่ง สาเหตุที่ผู้ป่วยหันไปเสพยาบ้าได้แก่ เพื่อให้เกิดมึนเมา ลดความไม่สบายใจ ความวิตกกังวล ลดความประหม่าในการเข้าสังคม บางรายใช้ลดความไม่สุขสบายจากฤทธิ์ยาและลดอาการประสาทหลอนของตัวเองเมื่อขาดยา รวมทั้งเพื่อนชักชวน ผู้ป่วยจะมีอาการหูแว่ว เช่น ได้ยินเสียงคนพูดทั้งๆที่ไม่มีคนพูด ประสาทหลอน ระแวงคิดว่าจะมีคนมาทำร้าย วอกแวก ขาดสมาธิ ซึ่งเป็นอาการทางจิตที่รุนแรงขึ้น เป็นอันตรายทั้งต่อผู้ป่วยเองและสังคมรอบข้าง