สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนจากทั่วประเทศ จำนวน 1,265 คน เรื่อง "เซ็ตซีโร่ กกต. ในสายตาประชาชน" จากกรณีมติของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยให้กรรมการ กกต. ทั้ง 5 คน พ้นตำแหน่งภายหลังร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวมีผลบังคับใช้ หรือ การเซ็ตซีโร่ แต่ให้ทำหน้าที่ต่อไปจนกว่าการสรรหา กกต. ชุดใหม่ 7 คน จะเสร็จเรียบร้อย
ผลการสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 42.77 ให้ความสำคัญกับ กกต.มาก เพราะเห็นว่าเป็นองค์กรอิสระที่มีความสำคัญต่อการจัดการเลือกตั้ง คอยควบคุมดูแลการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ยุติธรรม โปร่งใส ถ้าได้บุคคลที่ดี มีความรู้ความสามารถ ก็จะทำให้ประชาชนมั่นใจมากขึ้น รองลงมา ประชาชนร้อยละ 35.42 ค่อนข้างให้ความสำคัญ เพราะ กกต. มีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ที่ผ่านมาถูกจับตามองเรื่องการปฏิบัติหน้าที่จากหลาย ๆ ฝ่าย รวมถึงอยากได้ กกต. ที่เข้ามาด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม และมีคุณสมบัติที่ถูกต้องเหมาะสม ขณะที่ประชาชนร้อยละ 17.39 ไม่ค่อยให้ความสำคัญ เพราะที่ผ่านมา กกต. มีปัญหาและมีข่าวไม่ค่อยดีออกมาให้เห็นอยู่บ้าง ไม่เป็นกลาง ความน่าเชื่อถือลดลง และอาจถูกอำนาจทางการเมืองแทรกแซง ขณะที่มีเพียงร้อยละ 4.42 ที่ไม่ให้ความสำคัญกับ กกต. เพราะเห็นว่า การเมืองเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ เป็นเรื่องไกลตัว และยังไม่ถึงกำหนดการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 49.25 เห็นด้วยกับการเซ็ตซีโร่ กกต. (เปลี่ยนใหม่หมดทุกคน) โดยให้เหตุผลว่า จะได้เริ่มใหม่ เพื่อความยุติธรรมเท่าเทียม ได้คัดเลือกผู้ที่มีความรู้ความสามารถ มีคุณสมบัติครบถ้วนเข้ามาทำงาน รวมทั้งอยากเห็นการทำงานที่มีแนวคิดใหม่ๆ ส่วนประชาชนร้อยละ 41.82 เห็นว่าควรเปลี่ยนบางคน (เฉพาะคนที่คุณสมบัติไม่ครบถ้วน) เพราะเห็นว่าบางคนยังมีคุณสมบัติครบถ้วน มีประสบการณ์ในการทำงาน ควรเปลี่ยนเฉพาะคนที่ขาดคุณสมบัติให้เป็นไปตามข้อบังคับ และป้องกันการถูกครหา ขณะมีประชาชนร้อยละ 5.93 ระบุว่าไม่แน่ใจ ขณะที่ร้อยละ 3 ไม่ต้องเปลี่ยนเลย (อยู่คงเดิมทุกคน) เพราะเห็นว่าคนเดิมทำงานดีอยู่แล้ว รู้และเข้าใจปัญหาเป็นอย่างดี ควรให้โอกาสในการทำงานต่อไป และกังวลว่าจะกระทบต่อการจัดการเลือกตั้ง ทำให้ล่าช้าออกไป
อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 43.63 เชื่อว่าการเซ็ตซีโร่ กกต.อาจจะทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนเวลาออกไป เพราะต้องใช้เวลาในการสรรหาคัดเลือก ขณะที่คนใหม่ยังไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน อาจทำให้กระทบต่อการจัดการเลือกตั้ง และเกิดความขัดแย้งจนทำให้ล่าช้า ขณะที่ร้อยละ 34.39 ระบุว่าไม่แน่ใจ เพราะอาจเป็นเพียงกระแสข่าวลือ จากข่าวที่นำเสนอยังไม่ชัดเจน ยังไม่ค่อยมีความเข้าใจเท่าที่ควร และรัฐบาลเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขเวลา ส่วนร้อยละ 21.97 เชื่อว่าคงจะไม่ทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนเวลาออกไป เพราะรัฐบาลทำงานยึดตามโรดแมป เป็นการปรับที่ตัวบุคคล ไม่น่าจะมีผลกระทบหรือทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไป และคิดว่าเป็นคนละส่วนกัน รวมทั้งเชื่อว่าน่าจะหาคนใหม่มาแทนได้ไม่ยาก
ผลการสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 42.77 ให้ความสำคัญกับ กกต.มาก เพราะเห็นว่าเป็นองค์กรอิสระที่มีความสำคัญต่อการจัดการเลือกตั้ง คอยควบคุมดูแลการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ยุติธรรม โปร่งใส ถ้าได้บุคคลที่ดี มีความรู้ความสามารถ ก็จะทำให้ประชาชนมั่นใจมากขึ้น รองลงมา ประชาชนร้อยละ 35.42 ค่อนข้างให้ความสำคัญ เพราะ กกต. มีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ที่ผ่านมาถูกจับตามองเรื่องการปฏิบัติหน้าที่จากหลาย ๆ ฝ่าย รวมถึงอยากได้ กกต. ที่เข้ามาด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม และมีคุณสมบัติที่ถูกต้องเหมาะสม ขณะที่ประชาชนร้อยละ 17.39 ไม่ค่อยให้ความสำคัญ เพราะที่ผ่านมา กกต. มีปัญหาและมีข่าวไม่ค่อยดีออกมาให้เห็นอยู่บ้าง ไม่เป็นกลาง ความน่าเชื่อถือลดลง และอาจถูกอำนาจทางการเมืองแทรกแซง ขณะที่มีเพียงร้อยละ 4.42 ที่ไม่ให้ความสำคัญกับ กกต. เพราะเห็นว่า การเมืองเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ เป็นเรื่องไกลตัว และยังไม่ถึงกำหนดการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 49.25 เห็นด้วยกับการเซ็ตซีโร่ กกต. (เปลี่ยนใหม่หมดทุกคน) โดยให้เหตุผลว่า จะได้เริ่มใหม่ เพื่อความยุติธรรมเท่าเทียม ได้คัดเลือกผู้ที่มีความรู้ความสามารถ มีคุณสมบัติครบถ้วนเข้ามาทำงาน รวมทั้งอยากเห็นการทำงานที่มีแนวคิดใหม่ๆ ส่วนประชาชนร้อยละ 41.82 เห็นว่าควรเปลี่ยนบางคน (เฉพาะคนที่คุณสมบัติไม่ครบถ้วน) เพราะเห็นว่าบางคนยังมีคุณสมบัติครบถ้วน มีประสบการณ์ในการทำงาน ควรเปลี่ยนเฉพาะคนที่ขาดคุณสมบัติให้เป็นไปตามข้อบังคับ และป้องกันการถูกครหา ขณะมีประชาชนร้อยละ 5.93 ระบุว่าไม่แน่ใจ ขณะที่ร้อยละ 3 ไม่ต้องเปลี่ยนเลย (อยู่คงเดิมทุกคน) เพราะเห็นว่าคนเดิมทำงานดีอยู่แล้ว รู้และเข้าใจปัญหาเป็นอย่างดี ควรให้โอกาสในการทำงานต่อไป และกังวลว่าจะกระทบต่อการจัดการเลือกตั้ง ทำให้ล่าช้าออกไป
อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 43.63 เชื่อว่าการเซ็ตซีโร่ กกต.อาจจะทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนเวลาออกไป เพราะต้องใช้เวลาในการสรรหาคัดเลือก ขณะที่คนใหม่ยังไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน อาจทำให้กระทบต่อการจัดการเลือกตั้ง และเกิดความขัดแย้งจนทำให้ล่าช้า ขณะที่ร้อยละ 34.39 ระบุว่าไม่แน่ใจ เพราะอาจเป็นเพียงกระแสข่าวลือ จากข่าวที่นำเสนอยังไม่ชัดเจน ยังไม่ค่อยมีความเข้าใจเท่าที่ควร และรัฐบาลเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขเวลา ส่วนร้อยละ 21.97 เชื่อว่าคงจะไม่ทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนเวลาออกไป เพราะรัฐบาลทำงานยึดตามโรดแมป เป็นการปรับที่ตัวบุคคล ไม่น่าจะมีผลกระทบหรือทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไป และคิดว่าเป็นคนละส่วนกัน รวมทั้งเชื่อว่าน่าจะหาคนใหม่มาแทนได้ไม่ยาก