xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 9 มิถุนายน 2560

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน รายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน สัปดาห์นี้ผมขออัญเชิญพระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร องค์หนึ่ง มีใจความว่า การพัฒนาประเทศจะบรรลุผลตามเป้าหมายได้มากน้อยเพียงใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยประกอบการหลายอย่าง อย่างแรกต้องมีคนดีคือ มีปัญญา มีความรับผิดชอบ มีความวิริยะอุตสาหะเป็นผู้ปฏิบัติ อย่างที่ 2 ต้องมีวิทยาการที่ดีเป็นเครื่องใช้ประกอบการ อย่างที่ 3 ต้องมีการวางแผนที่ดีให้พอเหมาะพอควรกับฐานะเศรษฐกิจ และทรัพยากรที่มีอยู่ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์อันพึงประสงค์ของประเทศ และประชาชนเป็นหลักปฏิบัติ

ดังนั้น ทุกคนจึงควรจะได้ถือว่า เป็นภาระหน้าที่ที่จะต้องใช้ปัญญา ความรู้ ความสามารถของตนรับใช้สังคม และพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เกิดประโยชน์สูงสุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้เพื่อให้ปวงชนชาวไทยทุกคนได้น้อมนำไปประยุกต์ใช้เป็นเข็มทิศนำทาง สำหรับในการทำงานร่วมกันทั้งในปัจจุบัน และในอนาคต โดยเฉพาะในช่วงของประเทศไทยในการเปลี่ยนผ่านทุกวันนี้ ที่หลายฝ่ายมีการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศในหลายๆ ด้าน แต่การจะปฏิรูปได้อย่างไรให้ประสบความสำเร็จ สมดังความมุ่งหวังและตั้งใจของเราร่วมกันนั้น ต้องดำเนินการอย่างมียุทธศาสตร์เป็นกรอบใหญ่ในการกำหนดนโยบายสาธารณะ และการบริหารราชการแผ่นดินอย่างมีทิศทางและต่อเนื่อง ซึ่งมุ่งไปสู่จุดหมายไม่คดเคี้ยวเลี้ยวลดให้สิ้นเปลืองทรัพยากร งบประมาณ และเวลา หรือไม่ถกเถียงขัดแย้ง เนื่องด้วยต่างคนต่างฝ่ายต่างก็มีความคิด ความต้องการที่แตกต่างกันออกไป หากเราไม่มียุทธศาสตร์ ไม่มีวิสัยทัศน์ร่วมกันแล้ว ก็ยากที่จะทำงานร่วมกันให้สัมฤทธิ์ผลได้โดยง่าย

ดังนั้น นอกจากเราจะต้องสนับสนุนให้คนดีมีปัญญาได้ทำงานอย่างเต็มที่ และเราต้องใช้วิทยาการความรู้ และเทคโนโยลีที่ทันสมัยมาพัฒนาตนเอง รวมทั้งสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสังคมแล้ว เรายังต้องสามารถทำแผนการปฏิบัติ ปฏิรูปให้มีรายละเอียด มีความชัดเจนประเมินผลได้ให้ทุกหน่วยงานทำงานร่วมกันได้อย่างบูรณาการ และประสานสอดคล้อง อีกทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในรูปแบบกลไกประชารัฐ เหมือนอย่างที่รัฐบาลนี้ และ คสช.กำลังดำเนินการอยู่ด้วย

พี่น้องประชาชนที่รักครับ ผมขอเน้นย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ความร่วมมือ ความสามัคคีปรองดองของคนในชาติเท่านั้น ที่จะทำให้นโยบายไปสู่การปฏิบัติประสบความสำเร็จได้ อย่างไรก็ตาม หากปราศจากความรู้ และความเข้าใจที่ดีที่ถูกต้องอย่างถ่องแท้แล้ว ความร่วมมือก็ไม่มีวันจะเกิดขึ้น ดังนั้นวันนี้ผมถึงอยากให้ทุกคนหันมาสนใจกับเรื่องการสื่อสารสร้างชาติกันบ้าง โดยขอแบ่งเป็น 3 ลำดับด้วยกัน เพื่อความง่ายในการทำความเข้าใจได้ดังนี้

อันดับเล็กคือ การพูดจาในครอบครัวก็สร้างชาติด้วย ซึ่งครอบครัวที่มีการพูดจากันสื่อสารกันในสิ่งที่มีสาระ เพื่อให้คำปรึกษาแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด และอบอุ่น เด็กในครอบครัวลักษณะนี้จะเป็นเยาวชนที่มีคุณภาพ และเป็นพลเมืองที่ดีของชาติในอนาคต เราจะมีทรัพยากรมนุษย์ที่ดี มีศักยภาพสำหรับพัฒนาประเทศต่อไป ส่วนพ่อแม่ที่ไม่เคยพูดชื่นชม เพื่อให้กำลังใจลูก เอาแต่ว่ากล่าวด้วยการดุดัน หรือวาจาหยาบคาย เด็กๆ กลุ่มนี้จะโตขึ้นเป็นคนที่ก้าวร้าว ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง สุดท้ายก็หันหลังให้ครอบครัว หันหน้าเข้าหาเพื่อนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเหมือนกัน เมื่อการสื่อสารขยายวงกว้างมาสู่ระดับกลางก็คือ ชุมชนสังคม ควรจะอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง มีเหตุมีผลมากกว่าการใช้อารมณ์ความรู้สึก จนกลายเป็นเฮตสปีช และนำไปสู่พฤติกรรมการเลียนแบบด้วยความคึกคะนอง เกินขอบเขตขนบธรรมเนียมประเพณีแต่โบราณอันดีงาม กลับเห็นดีเห็นงานตามคนผิดๆ และพิเรนทร์ หรือการถ่ายทอดวาทกรรมฐานคิดที่ไม่ถูกต้อง ส่งผลให้สังคมไทยมีตรรกะที่ผิดเพี้ยน ซึ่งเคยมีพนักงานท่าอากาศยานขโมยกระเป๋าผู้โดยสาร และถูกจับได้ แทนที่จะรู้สึกผิดกับการกระทำของตนเอง กลับบอกสังคมว่า มีความจำเป็นต้องทำ ขโมยเพราะเงินเดือนน้อย แถมฝากไปยังผู้บริหารว่า ให้เพิ่มเงินเดือน ซึ่งมันไม่เกี่ยวข้องกันนะครับ ความผิดคือ ความผิด เหล่านี้ใช่หรือไม่

ทั้งนี้ ในเรื่องของการใช้สื่อโซเชียล ผมเห็นว่าเราควรจะสร้างกระบวนการเรียนรู้ สร้างภูมิคุ้นกันตนเองสำหรับการใช้ชีวิตในยุคโลกาภิวัตน์ โดยการสร้างหลักคิด มีข้อมูล มีความคิดพื้นฐาน มีการใช้สติปัญญา มีวิจารณญาณที่ดีว่าทำยังไรจะไม่ตกเป็นเหยื่อของการปลุกระดมความขัดแย้ง ถูกใช้ประโยชน์โดยคนบางกลุ่มที่อาจจะมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เป็นเหยื่อของการหลอกลวง การลงทุนแชร์ลูกโซ่ หรือการซื้อขายของที่ไม่มีคุณภาพ มีการโฆษณาเกินความเป็นจริง สร้างจุดขาย ยกให้เป็นไอดอลของคนบางประเภททั้งที่ไม่เหมาะสม และสร้างค่านิยมผิดๆ ทำให้สังคมไทยมีปัญหา หรือนำไปสู่สังคมที่เสื่อมทราม และสำหรับการสื่อสารระดับชาติที่มีสื่อมวลชนเป็นตัวกลาง เราต้องยอมรับความจริง และต้องให้ความสำคัญเรื่องของความเป็นกลาง และความน่าเชื่อถือของสื่อ โดยเราต้องวิเคราะห์ก่อนเสมอ ไม่อาจยึดมั่น หรือทึกทักว่าเป็นจริงอย่างว่าได้ในทันที ที่น่าเป็นห่วงกว่านั้นคือ วิจารณญาณ และจรรยาบรรณในการทำหน้าที่ของสื่อ ซึ่งผมขอฝากให้พิจารณาผลกระทบให้รอบด้าน และเลือกนำเสนอในประเด็นที่เสริมความรู้ก่อเกิดปัญญาให้กับประชาชนของประเทศ ห้วงที่ผ่านมามีข่าวสารที่สังคมไทยควรให้ความสนใจ และควรถูกนำเสนอในเชิงสร้างสรรค์ เช่น

1.โปรเม เอรียา จุฑานุกาล นักกอล์ฟหญิงขวัญใจชาวไทย ผมขอเป็นตัวแทนชาวไทยทุกคน ชื่นชมความสำเร็จของโปรเมในปัจจุบัน และให้กำลังใจ เพื่อประสบความสำเร็จสูงสุดในอนาคต เป็นแรงบันดาลใจให้รุ่นน้องๆ และเยาวชน ด้วยการเสนอข่าวควรเจาะลึกถึงเส้นทางความสำเร็จ การใช้ความเพียรพยายาม อดทน ฝึกซ้อม ร่วมกับความทุ่มเท เสียสละของผู้ปกครอง หรือในแง่มุมความสำคัญของการเล่นกีฬา เราอาจไม่จำเป็นต้องเป็นนักกีฬา แต่ทุกคนควรเล่นกีฬา เพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยเลือกกีฬาที่หลายๆ คนชื่นชอบก็ได้

หรือ 2. การเสนอข่าวการจัดอันดับสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งเป็นที่นิยมระดับโลก โดยเฉพาะวัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวัง และวัดโพธิ์ของไทย เป็นอยู่ในระดับต้นๆ ซึ่งมีประเด็นให้นำเสนอข่าวเพื่อเป็นการต่อยอด สร้างสรรค์สังคมต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอประวัติความเป็นมา สร้างความภาคภูมิใจ ความเป็นชาติทำให้เกิดการหวงแหน ให้ความสำคัญโดยช่วยกันอนุรักษ์ และบูรณะโบราณสถาน โบราณวัตถุ ในแต่ละท้องถิ่นซึ่งจะเป็นจุดแข็ง สร้างงาน สร้างรายได้ เข้าสู่ชุมชนของตน หรือเป็นการเสนอเพื่อเป็นการขยายตลาดท่องเที่ยวสำหรับไทยเที่ยวไทย เงินทองก็ไม่รั่วไหลไปไหน หรือจะเชิญชวนชาวต่างชาติมาเที่ยวไทย ก็ใช้เป็นโอกาสที่จะกระตุ้นให้คนไทยในชาติได้รับรู้ถึงแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวของไทย ที่จะขยายฐานออกไปอีก ทั้งการท่องเที่ยวทางกีฬาเชิงสุขภาพ เรือสำราญ ด้านอาหาร เป็นต้น

จากตัวอย่างที่หยิบยกมานั้น ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องหันมาให้ความสำคัญกับการสื่อสารสร้างชาติให้มากขึ้นในทุกระดับ โดยเริ่มจากสถาบันพื้นฐานของสังคม บ้าน วัด โรงเรียน เพื่อสร้างความคุ้มกันที่ดีให้กับสังคมตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ ความรู้คู่คุณธรรม ไม่ให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมที่สื่อสารกันอย่างไร้สาระผิดเพี้ยน หรือปล่อยปละ ให้เกิดความมักง่ายในการใช้ภาษา และการสื่อสาร ทั้งที่การสื่อสารเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ทั้งในชีวิตประจำวัน และในการทำงานร่วมกันโดยคำพูดเพียงไม่กี่คำ สามารถจะสร้างคนเปลี่ยนคน หรือทำลายคนก็ได้ในระยะเวลาอันสั้น อีกทั้งในการเสพสื่อนั้น ไม่จะฟัง ดู อ่าน เขียน ผมอยากให้คนไทยได้คิดและตัดสินใจด้วยปัญญา เชื่อหรือไม่เชื่อก็ต้องหาข้อมูลสนับสนุนเพิ่มเติมด้วยให้รอบคอบ รอบด้าน ใช้การคิดวิเคราะห์ พิจารณาให้ครบถ้วนกระบวนการ ไม่ใช่เอาผลประเมินเล็กน้อยมาทำให้กระบวนการใหญ่ๆ มีปัญหา เสียรูปกระบวน วันนี้เราต้องคิดแบบมีวิสัยทัศน์ ต้องกว้าง ลึก และลงรายละเอียดในทุกประเด็นของปัญหา โดยงานเล็กๆ เพื่อแก้ไขปัญหาเล็กๆ นั้น ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการแก้ปัญหาใหญ่ๆ ทั้งนี้ ทุกงาน ทุกอย่างมีความสำคัญ สัมพันธ์เชื่อมโยงกันเป็นห่วงโซ่ ดังนั้นเราต้องบูรณาการกัน

ทั้งนี้ สื่อแขนงต่างๆ ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถช่วยให้การแก้ปัญหาต่างๆของประเทศประสบความสำเร็จได้ พี่น้องสื่อจะต้องตระหนักและกำหนดบทบาทสร้างคุณค่าให้กับองค์กรของตน ว่าจะทำร้ายประเทศทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือจะสร้างสรรค์สังคมโดยหลายรายการที่น่ายกย่อง เป็นสื่อที่ช่วยให้เกิดการคลี่คลายประเด็นปัญหา ระงับความเข้าใจผิด และหาทางออกให้สังคม เช่น รายการชัวร์ก่อนแชร์ ช่อง 9 รายการเคลียร์คัตชัดเจน ของ NBT กรมประชาสัมพันธ์ เป็นต้น มีอีกมากมาย

นอกจากนี้ ผมขอแนะนำให้พี่น้องประชาชนได้ติดตามรับชมผลการดำเนินงานของรัฐบาลผ่านทางรายการเดินหน้าประเทศไทยที่ออกอากาศทางโทรทัศน์และวิทยุทุกช่องทุกวัน เว้นวันศุกร์ เวลา 18.00 น.โดยช่วงนี้ในทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่ 4 มิถุนายน – 27 สิงหาคม ได้จัดทำเป็นตอนพิเศษ นำเสนอความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาสำคัญๆของประเทศ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา จำนวน 12 ตอน โดยในวันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายนนี้ จะเสนอผลงานในเรื่องการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขอเชิญรับชมรับฟังได้ ไม่ใช่เพื่อประชาสัมพันธ์ เป็นเรื่องของการสร้างความเข้าใจให้รู้ว่าเราทำอะไรลงไปแล้วบ้าง จะได้ไม่เสียโอกาส ขอขอบคุณสถานีโทรทัศน์ และสถานีวิทยุทุกช่องที่ให้การสนับสนุนและร่วมมือเป็นอย่างดีมาโดยตลอด

พี่น้องประชาชนที่เคารพทุกท่าน มีประเด็นปลีกย่อยมากมายที่ผมมีความจำเป็นต้องทำความเข้าใจ ฝากเป็นคำถามให้ขบคิดหรือเตือนสติพี่น้องประชาชน เช่น

1.เรื่องกฎหมาย โดยเจตนารมณ์ของกฎหมายย่อมมุ่งหวังให้เกิดความสงบ ส่งเสริมความเท่าเทียมในสังคม ดังนั้นการเข้าถึงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมอย่างทั่วถึง ย่อมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคนหากไม่ขวนขวาย ไม่เรียนรู้ ไม่เข้าใจ ก็อาจจะตกเป็นเหยื่อของคนที่รู้กฎหมาย โดยเฉพาะประเภทศรีธนญชัย ฉลาดแกมโกง เป็นบ่อเกิดของการทุจริต การเรียกรับผลประโยชน์ หรืออื่นๆอีกมากมาย ถ้าเราไม่รู้จริงก็จะถูกรังแก เป็นผู้ถูกกระทำได้โดยง่าย

2.เรื่องการช่วยเหลือของรัฐบาล ทุกมาตรการ ไม่ได้จำกัดแต่เพียงพี่น้องเกษตรกร รัฐบาลให้ความสำคัญกับผู้มีรายได้น้อย ผู้หาเช้ากินค่ำ ที่มีรายได้ยังเพียงพอ ซึ่งมีอยู่หลายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพอิสระ รับจ้าง ค้าขาย รวมทั้งเอสเอ็มอี ไมโครเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพและอื่นๆ ที่ยังไม่เข้มแข็งเพียงพอ เราต้องบริหารจัดการกำหนดนโยบายสาธารณะ หรือออกมาตรการที่เหมาะสมกับงบประมาณที่มีอยู่ มีหลายคนเรียกร้องให้ยกหนี้ให้เกษตรกรและชาวนาทั้งหมด แล้วจะทำได้อย่างไร จะเอาเงินมาจากไหน อาชีพอื่นๆ ประชาชนกลุ่มอื่นๆก็ยังคงมีปัญหาหนี้เช่นกัน เราจะเอางบประมาณจากที่ไหนมาถึงจะพอ แล้วจะทำยังไงจะไม่เกิดหนี้ใหม่เพิ่มขึ้นอีก

มาตรการต่างๆ นั้นเราต้องทำ ทั้งช่วยเหลือและสร้างโอกาส สร้างทางเลือกใหม่ๆ เพื่อให้ประชาชนเข้มแข็งพึ่งพาตัวเองได้ โดยรัฐบาลก็จะช่วยสร้างความยั่งยืน ในระยะยาวไปพร้อมๆ กันด้วย อย่าลืมว่ารัฐบาลมีภาระดูแลคนเกือบ 70 ล้านคน เป็นผู้มีรายได้น้อย ต่ำกว่า 100,000 บาท ถึง 15 ล้านคน แล้วที่มีรายได้ 100,000 – 300,000 กับ 300,000 ขึ้นไปอีกจะทำอย่างไร

การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนในประเทศเพื่ออนาคต การสร้างเศรษฐกิจขนาดใหญ่ทุกอย่าง เราจำเป็นต้องดำเนินการ ควบคู่กันไปด้วย ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ แต่จะทำอย่างไรให้สามารถทำทุกอย่างพร้อมกันได้ หากใช้จ่ายเกินตัว ไม่ประเมินความคุ้มค่า ความคุ้มทุน และความเหมาะสม ไม่มีวินัยการเงินการคลัง ไม่ปฏิรูประบบภาษี ไม่หารายได้ให้งอกเงย ประเทศเราคงล่มจมต่อไป จะให้ล้างหนี้ งดการลงทุน ไปดูแลสาธารณสุขถ้วนหน้า ดูแลรัฐสวัสดิการฟรี ทั้งหมด ศึกษาฟรีทั้งหมด ทั้งค่าเล่าเรียน เสื้อผ้า ค่าบำรุง ค่ากิจกรรมกิจกรรมอื่นให้มากขึ้นอีก เราต้องใช้งบประมาณอีกเท่าไหร่ จึงจะพอนะครับ ก็ต้องทำ

เมื่อมีขีดความสามารถเพียงพอ ก็ทำให้มากขึ้น ระยะสั้นถ้าเราทำแบบเดิมคงพอไหว ระยะยาวเราต้องทบทวน ต้องบริหารจัดการให้เหมาะสมกับบริบทและยุคสมัยไม่ให้เป็นภาระทางงบประมาณ ต่อไปจนประเทศเราไปไม่รอด เราต้องมีงบประมาณสำหรับการดำรงสภาพและพัฒนาระบบราชการ อย่างต่อเนื่องและเพียงพอด้วย

ทุกวันนี้ รายได้ใหม่ เศรษฐกิจใหม่ที่ลงทุนไว้ทยอยเริ่มผลิดอกออกผล แต่ยังไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เราจะทำอย่างไรต้องช่วยคิดดูอีกด้วยนะ

3. เรื่องปัญหาความมั่นคงนั้น ต้องเข้าใจว่าปัจจุบันเรากำลังเผชิญหน้ากับภัยคุกคาม 2 ประเภท ในเวลาเดียวกัน ได้แก่ ภัยคุกคามรูปแบบเดิม หมายถึงสงครามในรูปแบบต่างๆ น้อยใหญ่ สงครามจำกัด สงครามพิทักษ์ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ทางบก ทางเรือ ทางอากาศ ซึ่งเราปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกใบนี้ ยังเป็นภัยคุกคามที่มีอยู่ หรือพร้อมที่จะปะทุได้ตลอดเวลา ดังนั้น การเตรียมความพร้อม การมีศักยภาพ เราต้องพัฒนาว่าเราควรมีแค่ไหนอย่างไร ตามที่เรามีนโยบายอยู่ การรักษาความสัมพันธ์ การควบคุมอำนาจกับชาติมหาอำนาจ ชาติพันธมิตรต่างๆ เพื่อจะสร้างความร่วมมือ สร้างความมั่นคงของสังคม และประเทศชาติเป็นอย่างไร บทบาทของเราอยู่ตรงไหน ทั้งหลายทั้งปวงเราต้องไม่ประมาท

สำหรับภัยคุกคามรูปแบบใหม่วันนี้ เกิดขึ้นอยู่ในโลกปัจจุบันกำลังคุกคามโลกอยู่ รวมทั้งยาเสพติด ภัยธรรมชาติเหล่านี้ เป็นต้น ทุกประเทศได้รับผลกระทบเช่นกัน จึงต้องร่วมมือป้องกันและแก้ไขปัญหาในกรอบใหญ่ของโลกด้วย ทั้งนี้ ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นปัญหาในประเทศ มีผลกระทบความมั่นคงของประเทศโดยตรง เป็นปัญหาที่สะสมเป็นระยะเวลายาวนาน เราต้องดำเนินการแก้ไขอย่างมียุทธศาสตร์ และคสช.นอกจากการน้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนาและหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอันเป็นศาสสตร์พระราชา ในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งเราต้องคำนึงถึงทุกมิติอย่างสมดุล ทั้งเศรษฐกิจสังคม และสิ่งแวดล้อม ความมั่นคงมาเป็นยุทธศาสตร์หลักแล้ว ยังมุ่งเน้นการแปลงยุทธศาสตร์ไปสู่นโยบาย การเมือง การทหาร และไปสู่การปฏิบัติในรูปแบบต่างๆ ผมอยากให้พี่น้องภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ มีความเข้าใจ ภูมิใจการดำเนินการของรัฐบาล เพื่อจะแสวงหาความร่วมมือกันในโอกาสต่างๆ

ปัจจุบันรัฐบาลได้ตั้งผู้แทนพิเศษรัฐบาลในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมกับส่วนหน้า สำหรับเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงรัฐบาล และกระทรวงต่างๆ ในส่วนกลาง กับหน่วยงานในพื้นที่เพื่อให้ทำงานกันอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น อำนวยการซึ่งกันและกัน ทั้งในการรักษาความปลอดภัยและทรัพย์สิน การแสวงหาทางออกจากความขัดแย้ง การแก้ปัญหาในเรื่องกระบวนการยุติธรรม การเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ และการขับเคลื่อนนโยบาย การสร้างความเข้าใจทั้งในและต่างประเทศ การพัฒนาการศึกษา ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และการพัฒนาตามศักยภาพพื้นที่ รวมทั้งการยกระดับคุณภาพชีวิต

ตัวอย่างนโยบายสำคัญในรัฐบาลนี้คือ โครงการเมืองต้นแบบสามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เพื่อยกระดับจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านโยบายพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ 10 แห่งทั่วประเทศ และระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก อีอีซี โดยเป็นโครงการพัฒนาที่เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง และน้อมนำศาสตร์พระราชาเรื่องการระเบิดจากข้างใน ไม่ยัดเยียดสิ่งที่ไม่อยู่ในความต้องการ หรือไม่เหมาะสมกับระบบสังคมมาเป็นหลักสำคัญในการพัฒนา 3จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจเฉพาะกระตุ้นให้เกิดการลงทุน รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ เช่น 1 การพัฒนาเมืองหนองจิก จ.ปัตตานี ให้เป็นเมืองต้นแบบอุตสาหกรรม แปรรูปการเกษตร และขยายบทบาทการเป็นประตูสู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 2 โครงการพัฒนา อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส ให้เป็นศูนย์กลางการค้าขายชายแดนระหว่างประเทศ และ 3 โครงการพัฒนา อ.เบตง จ.ยะลา ให้เป็นเมืองต้นแบบที่พึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน เป็นต้น

นอกจากนี้ โครงการเมืองต้นแบบสามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ยังเชื่อมโยงโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ในระดับภูมิภาคอีกด้วย ได้แก่ 1 แผนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจ 3 ฝ่าย ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย (IMT - GT) เพื่อเชื่อมโยงทางยุทธศาสตร์ ระหว่าง 14 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย 8 รัฐของมาเลเซีย และ 10จังหวัด ในเกาะสุมาตรา ของอินโดนีเซีย ห่วงโซ่มูลค่าระดับอาเซียน และ 2 โครงการรถไฟไทย-จีน ตามยุทธศาสตร์ One Belt, One Road ซึ่งจะเชื่อมโยงไทยกับ 64 ประเทศ ทั้งในเอเชีย แอฟริกา ยุโรป รวมทั้งจีน ผ่านการขนส่งทางราง เช่น ทางรถไฟไทย-จีน-ลาว รถไฟสายด่วนจีน-ยุโรป และเครือข่ายระบบรางของเอเชียในอนาคต อีกด้วย

สำหรับการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างยั่งยืน ไม่ให้เกิดซ้ำรอยเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2559 ที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รัฐบาลมอบหมายให้ผู้แทนพิเศษของรัฐบาลนี้ ลงไปเร่งรัดขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ให้มีผลสัมฤทธิ์และเป็นรูปธรรม โดยตั้งเป้าหมายลดความเสียหายที่เกิดขึ้นให้ได้มากกว่าร้อยละ 60 พื้นที่รอบนอกต้องมีการท่วมขังของน้ำไม่เกิน 7 วัน และไม่สร้างความเสียหายต่อพืชผลการเกษตร พื้นที่ชุมชนรอบใน และบ้านเรือนที่อยู่อาศัย จะมีน้ำท่วมได้ไม่เกิน 1-2 วันเท่านั้น พื้นที่ซ้ำซาก ต้องดูแล ควบคุม บริหารจัดการให้เกิดผลเสียต่อประชาชนให้น้อยที่สุด รวมทั้งต้องมีการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ เพื่อเร่งระบายน้ำในห้วงน้ำหลาก และเก็บน้ำไว้ใช้ในห้วงฤดูแล้งให้ได้อีกด้วย ก็ขอความร่วมมือกับภาคประชาชนด้วย รัฐบาลทำแต่เพียงอย่างเดียว แล้วไม่ร่วมมือ มันเป็นไปไม่ได้ทั้งสิ้น ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น

พี่น้องประชาชนที่รักครับ เป็นเรื่องที่น่ายินดีอีกเรื่องหนึ่งก็คือ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ที่ผ่านมา IMD ได้ปรับอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยประจำปี 2017 ดีขึ้น จากอันดับรวมที่ 28 ในปีก่อน มาอยู่ที่ 27 ในปีนี้ ปรับดีขึ้นในด้านการพัฒนาการทางเศรษฐกิจ ที่เคยอยู่ในอันดับที่ 13 มาอยู่ที่ 10 เป็นผลมาจากการลงทุนจากต่างประเทศ ส่วนอีกด้านหนึ่งที่ปรับดีขึ้นก็คือ ประสิทธิภาพในการดำเนินงานของภาครัฐ ปีก่อนอยู่อันดับที่ 23 ปีนี้ดีขึ้น มาอยู่ลำดับที่ 20 ในปีนี้ IMD ได้เริ่มจัดอันดับความสามารถของประเทศ โดยการทำเทคโนโลยีดิจิตอลมาใช้ในการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของภาครัฐ และการดำเนินการธุรกิจ โดยไทยอยู่อันดับที่ 41 ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้น เป็นแรงผลักดันให้เราพยายามทำให้ดีขึ้นอีก

ทั้งนี้ จากการที่ความสามารถในการแข่งขันของเราปรับดีขึ้นในภาพรวมนั้น คงไม่ใช่เรื่องง่าย ผมก็ถือว่าเป็นกำลังใจที่ดีให้กับทุกฝ่ายที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันทำงานอย่างเต็มที่ ผมเคยพูดอยู่เสมอว่า การจัดอันดับเหล่านี้เป็นมุมมองจากภายนอก ที่จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย ซึ่งมีความสำคัญอย่างมาก แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ มุมมองจากข้างในของเราเอง ที่จะผลักดันให้เกิดความเข้าอกเข้าใจกัน ร่วมไม้ร่วมมือกัน เป็นกำลังใจให้กันในการทำงาน เพื่อให้ประเทศชาติก้าวไปข้างหน้า

สำหรับในวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมานั้น ผมได้เข้าชี้แจงร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2561 ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จะขอเล่าให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบในภาพรวม ว่าการจัดทำงบประมาณในครั้งนี้ถือว่าแตกต่างจากครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมาค่อนข้างมาก โดยรัฐบาลพยายามมุ่งเน้นให้การตั้งงบประมาณมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และดูแลจัดสรรให้ตรงกับความต้องการของประชาชน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศสูงสุด ซึ่งการปรับเปลี่ยนการจัดทำงบประมาณเกิดขึ้นในหลายมิติ ดังนี้

มิติแรก คือ การจัดสรรงบประมาณมีความชัดเจน และดูแลให้เหมาะสมกับความต้องการของประเทศ โดยส่วนแรกคืองบประมาณที่สนับสนุนงานฟังก์ชัน หรืองานประจำ ที่ครั้งนี้มีการปรับลดลงกว่า 240,000 ล้านบาท เนื่องมาจากนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการลด ชะลอ หรือยกเลิก โครงการที่ซ้ำซ้อนระหว่างหน่วยงาน ล้าสมัย และยังไม่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ โดยจะนำงบประมาณส่วนที่ลดลงนี้ไปเพิ่มในมิติที่สอง คือ งานบูรณาการ ประมาณ 130,000 ล้านบาท และงานยุทธศาสตร์อีกประมาณ 110,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนนโยบายและการปฏิรูปประเทศให้เกิดผลอย่างชัดเจน เป็นรูปธรรม เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ตรงความต้องการ และเป็นพื้นที่ และให้เป็นไปตามทิศทางที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแผนที่ 12 ซึ่งจะทำให้สามารถขับเคลื่อนและเดินหน้าโครงการต่างๆ ได้คล่องตัวขึ้น รวมทั้งสามารถประเมินการใช้งบประมาณได้ดียิ่งขึ้น

มิติที่สอง คือ การจัดสรรงบประมาณให้สามารถสนับสนุนการทำงานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้สามรถใช้ประโยชน์จากการใช้จ่ายงบประมาณร่วมกันให้ได้สะดวกยิ่งขึ้น เพิ่มการประสานงาน ลดการซ้ำซ้อนของการทำงาน ทั้งแผนคน แผนเงิน แผนงบประมาณ จะต้องไม่ซ้ำซ้อนกัน และแบ่งความรับผิดชอบ สามารถตรวจสอบได้ง่ายขึ้น ทำให้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดนั้น สามารถจะใช้ประโยชน์ได้สูงสุด เพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชน และพัฒนาประเทศให้มีความมั่งคั่ง อย่างยั่งยืน โดยมีกลไกเพื่อให้การบูรณาการงบประมาณในการจัดสรรแผนการพัฒนาคน แผนการดำเนินงาน และแผนการใช้งบประมาณ ที่มีความสอดคล้อง เพื่อตอบโจทย์การทำงานภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติได้เต็มที่ เพื่อจะสร้างความเข้มแข็งในการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศให้จงได้

มิติที่สาม ก็คือ การสร้างความคุ้มค่าให้กับการใช้งบประมาณ โดยมีกลไกในการจัดทำโครงการต่างๆ เพื่อป้องกันการทุจริต ผ่าน พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง จัดให้มีการทำศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ และกระบวนการคัดกรองตรวจสอบอื่นๆ ที่รัดกุมยิ่งขึ้น และ

มิติที่สี่ ก็คือ การปฏิรูปการจัดสรรงบประมาณนี้ เป็นก้าวสำคัญที่จะขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศให้เกิดขึ้น และดำเนินการไปได้ต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลมีการวางแผนดำเนินการผลักดันการปฏิรูปด้านต่างๆ ควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะกลไกมาตรฐาน กฎหมายต่างๆ ทั้งมีการทำให้เกิดขึ้นใหม่ ปรับปรุงเพิ่มเติม หรือยกเลิกบางส่วน ให้สอดคล้องกันทั้งระบบ

นอกจากนี้ การจัดสรรงบประมาณของประเทศ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความต้องการ ในการปฏิรูปประเทศ ระบบราชการ การบริหารราชการ และข้าราชการเอง ถือเป็นปัจจัยสำคัญมากในขณะนี้

การกระจายอำนาจ และการกระจายงบประมาณออกไป เราต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพ และความสามารถ ความพร้อมของทุกอย่างในระบบด้วย ซึ่งจะต้องดำเนินการวางโรดแมปในการจัดทำระบบ สร้างข้าราชการที่ดี, ข้าราชการรุ่นใหม่ ไปพร้อมกัน อีกทั้งยังต้องพัฒนา และเพิ่มกระบวนการเรียนรู้ทุกระดับ ทุกผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ให้มีหลักคิดไปพร้อม ๆ กันด้วย

ที่สำคัญที่สุด ภายใต้ข้อจำกัดของงบประมาณ ก็คือการเดินหน้าปฏิรูปประเทศ คือ กฎหมายต้องสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้ทันสมัย ทั้งกฎหมายการค้าที่จะสนับสนุนเศรษฐกิจ กฎหมายที่ทำให้สังคมเป็นระเบียบ ทั้งด้านอาชญากรรม ยาเสพติด โดยต้องมองประชาชนเป็นจุดศูนย์กลาง และต้องมองประเทศชาติว่า จะเดินหน้าไปได้อย่างไรเป็นสำคัญ ซึ่งคณะกรรมการด้านกฎหมายหลายๆ คณะ ก็กำลังเร่งดำเนินการเพื่อสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้กับการปฏิรูปประเทศในช่วงต่อไป

ขอขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น