บรรยากาศการไว้อาลัยและกราบสักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง วันนี้ (7 มิ.ย.) ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 217 ตลอดทั้งวันยังคงมีประชาชนจากทั่วสารทิศทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
น.ส.ธิดา โพธิ์ศรี อายุ 35 ปี ชาวนครศรีธรรมราช เดินทางมากราบเป็นครั้งแรก พร้อมกับเพื่อน น.ส.หนูปอง แสงเพ็ญ อายุ 40 ปี ชาวบึงกาฬ ที่ได้มากราบเป็นครั้งที่ 5 กล่าวร่วมกันว่า มีความรู้สึกหลากหลายปนกัน ทั้งดีใจ ตื้นตันใจ และเสียใจ ตอนได้เข้าไปกราบน้ำตาไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว นับเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้ทดแทนพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงงานให้แก่คนไทย ท่านเปรียบเสมือนเทวดาอยู่บนดิน ทรงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย บางครั้งยิ่งกว่าประชาชนทั่วไป เช่น ทรงใช้รองพระบาท ใช้ดินสอเครื่องเขียน ยาสีฟัน อย่างประหยัดที่สุด ทำให้ทุกวันนี้เราได้ยึดพระองค์เป็นแบบอย่างในเรื่องความขยัน ประหยัด อดออม และอดทน อีกทั้งมีความพอเพียง นอกจากเลี้ยงกุ้ง เลี้ยงวัวขายเป็นอาชีพ แต่ก็ปลูกพืชผักสวนครัวเอาไว้กินเอง อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ซื้อ ชีวิตทุกวันนี้มีความสุข ไม่เดือดร้อน เวลาเกิดวิกฤตการเมือง เศรษฐกิจ เราก็สามารถอยู่ได้
นางสาวศุภิสรา แต่งตั้ง อายุ 53 ปี ชาว ต.ชากพง อ.แกลง จ.ระยอง กล่าวว่า ตนและเพื่อนบ้านรวม 8 คน เช่ารถตู้โดยสารเดินทางมากราบถวายบังคมพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นครั้งแรก โดยออกเดินทางจาก จ.ระยอง ตั้งแต่ตี 3 และเข้ากราบเสร็จประมาณ 7 โมงเช้า รู้สึกดีใจและปลาบปลื้มใจมากที่วันนี้ได้มีโอกาสเดินทางมากราบพระองค์ท่าน ซึ่งตนจะเดินทางมาหลายครั้งแล้ว แต่ติดงานตลอด เนื่องจากทำงานเป็นจิตอาสา ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) และดูแลผู้ป่วยติดเตียง จึงพลาดโอกาสทุกครั้งที่เพื่อนบ้านเดินทางมา
"ทุกวันนี้ก็ยึดคำสอนของพระองค์ในการดำเนินชีวิตแบบพอเพียง ตามรอยที่พ่อสอน คือใช้จ่ายอย่างประหยัด ทำบัญชีครัวเรือน และทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน แบบปิดทองหลังพระ มีจิตอาสา งานของ ชรบ.ก็ออกไปช่วยสอนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง การปลูกพืชอะไรที่เหมาะสมกับพื้นที่ การปลูกแบบผสมผสาน ตามหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ของพระองค์ และช่วยดูแลผู้ป่วยติดเตียงตามหมู่บ้าน ร่วมกับเทศบาลสุนทรภู่ ทุกวันนี้ก็ไม่ได้รวย ทำงานมีค่าตอบแทนที่อยู่ได้แบบพอเพียง แต่ก็มีความสุขตรงที่ได้ช่วยเหลือกัน" นางสาวศุภิสรา กล่าว
น.ส.ธิดา โพธิ์ศรี อายุ 35 ปี ชาวนครศรีธรรมราช เดินทางมากราบเป็นครั้งแรก พร้อมกับเพื่อน น.ส.หนูปอง แสงเพ็ญ อายุ 40 ปี ชาวบึงกาฬ ที่ได้มากราบเป็นครั้งที่ 5 กล่าวร่วมกันว่า มีความรู้สึกหลากหลายปนกัน ทั้งดีใจ ตื้นตันใจ และเสียใจ ตอนได้เข้าไปกราบน้ำตาไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว นับเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้ทดแทนพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงงานให้แก่คนไทย ท่านเปรียบเสมือนเทวดาอยู่บนดิน ทรงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย บางครั้งยิ่งกว่าประชาชนทั่วไป เช่น ทรงใช้รองพระบาท ใช้ดินสอเครื่องเขียน ยาสีฟัน อย่างประหยัดที่สุด ทำให้ทุกวันนี้เราได้ยึดพระองค์เป็นแบบอย่างในเรื่องความขยัน ประหยัด อดออม และอดทน อีกทั้งมีความพอเพียง นอกจากเลี้ยงกุ้ง เลี้ยงวัวขายเป็นอาชีพ แต่ก็ปลูกพืชผักสวนครัวเอาไว้กินเอง อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ซื้อ ชีวิตทุกวันนี้มีความสุข ไม่เดือดร้อน เวลาเกิดวิกฤตการเมือง เศรษฐกิจ เราก็สามารถอยู่ได้
นางสาวศุภิสรา แต่งตั้ง อายุ 53 ปี ชาว ต.ชากพง อ.แกลง จ.ระยอง กล่าวว่า ตนและเพื่อนบ้านรวม 8 คน เช่ารถตู้โดยสารเดินทางมากราบถวายบังคมพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นครั้งแรก โดยออกเดินทางจาก จ.ระยอง ตั้งแต่ตี 3 และเข้ากราบเสร็จประมาณ 7 โมงเช้า รู้สึกดีใจและปลาบปลื้มใจมากที่วันนี้ได้มีโอกาสเดินทางมากราบพระองค์ท่าน ซึ่งตนจะเดินทางมาหลายครั้งแล้ว แต่ติดงานตลอด เนื่องจากทำงานเป็นจิตอาสา ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) และดูแลผู้ป่วยติดเตียง จึงพลาดโอกาสทุกครั้งที่เพื่อนบ้านเดินทางมา
"ทุกวันนี้ก็ยึดคำสอนของพระองค์ในการดำเนินชีวิตแบบพอเพียง ตามรอยที่พ่อสอน คือใช้จ่ายอย่างประหยัด ทำบัญชีครัวเรือน และทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน แบบปิดทองหลังพระ มีจิตอาสา งานของ ชรบ.ก็ออกไปช่วยสอนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง การปลูกพืชอะไรที่เหมาะสมกับพื้นที่ การปลูกแบบผสมผสาน ตามหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ของพระองค์ และช่วยดูแลผู้ป่วยติดเตียงตามหมู่บ้าน ร่วมกับเทศบาลสุนทรภู่ ทุกวันนี้ก็ไม่ได้รวย ทำงานมีค่าตอบแทนที่อยู่ได้แบบพอเพียง แต่ก็มีความสุขตรงที่ได้ช่วยเหลือกัน" นางสาวศุภิสรา กล่าว