บรรยากาศการไว้อาลัยและกราบสักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 211 ในวันนี้ (1 มิ.ย.) ตลอดทั้งวันยังคงมีประชาชนจากทั่วสารทิศทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
ศ.กิตติคุณ อำไพ สุจริตกุล อายุ 87 ปี ชาวกรุงเทพฯ กล่าวหลังจากได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพ เป็นครั้งที่ 2 ว่า ปลื้มปิติมากที่มีโอกาสมาอีก ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณในหลวง ร.9 เนื่องจากได้เห็นพระองค์ท่านมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ โดยเฉพาะเมื่อครั้งเสด็จนิวัติประเทศไทยครั้งแรกหลังจากทรงไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานาน ดิฉันอายุอ่อนกว่าพระองค์ท่าน 3 ปี ขณะนั้นในหลวง ร.9 และร.8 ฉลองพระองค์ด้วยชุดสากล ประทับบนเรือซิแลนเดียมาทางปากลัด อ.พระประแดง สมุทรปราการ รู้สึกดีใจและประทับใจมาก พวกเราพากันยืนโบกธงชาติ ด้วยความปลาบปลื้มและเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้อง ต่อมาเรียนจบคณะอักษร จุฬาฯ ก็ได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์พระองค์ท่าน นอกจากนี้ได้รับเหรียญตราชั้นสูงสุด ปรมาภรณ์ช้างเผือก สายที่ 4 และครั้งสุดท้ายจริงๆ ได้รับพระราชทานตำแหน่ง ศ.กิตติคุณ เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ จึงตั้งปณิธานว่าจะทำคุณประโยชน์แก่ส่วนรวมเท่าที่จะทำได้ ทุกวันนี้ได้ใช้ชีวิตหลังเกษียณปฏิบัติภาวนากรรมฐาน และสอนธรรมะแก่คนอื่นๆ ด้วย
ด้าน น.ส.กุลวดี จรวัฒนพันธุ์ เจ้าหน้าที่สถานทูตเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา และนางนุชรีกร ป้อมสนาม เจ้าหน้าที่พิธีการทูตเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐชิลี ที่มีโอกาสมากราบพระบรมศพหลายครั้งแล้ว และยังอยากจะมาอีกเรื่อยๆ กล่าวว่า ด้วยความคิดถึงที่มีต่อท่านจึงอยากมาอยู่ใกล้ชิดท่านให้มากและบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ทั้งนี่เพราะพระองค์ทรงงานเพื่อคนไทยอย่างมากมายจนไม่สามารถเอ่ยได้หมด โดยส่วนตัวได้นำหลักคำสอนและยึดพระองค์เป็นแบบอย่างในเรื่องของความพอเพียง ที่เมื่อก่อนตอนพระองค์ทรงมีพระชนม์ชีพไม่ได้ศึกษาเรียนรู้อย่างจริงจัง แต่เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว กลับทำให้ทราบว่าสิ่งที่พระองค์ทรงทำมาโดยตลอดในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงมีประโยชน์ต่อคนไทยเป็นอย่างมาก ทำให้หลายคนกลับไปทำการเกษตรยังบ้านเกิดเพื่อพัฒนาชุมชน ด้วยดินน้ำอุดมสมบูรณ์อย่างที่ประเทศอื่นไม่มี
นอกจากนี้ยังยึดหลักการอดออม ซื่อสัตย์สุจริต การทำตัวเป็นคนดี และที่สำคัญคือความกตัญญูต่อบุพการี ซึ่งเราได้ประพฤติตามรอยพระองค์ท่านมาโดยตลอดและจะรักษาสิ่งเหล่านี้ต่อไป เพื่อเป็นการสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ท่านด้วย
ศ.กิตติคุณ อำไพ สุจริตกุล อายุ 87 ปี ชาวกรุงเทพฯ กล่าวหลังจากได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพ เป็นครั้งที่ 2 ว่า ปลื้มปิติมากที่มีโอกาสมาอีก ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณในหลวง ร.9 เนื่องจากได้เห็นพระองค์ท่านมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ โดยเฉพาะเมื่อครั้งเสด็จนิวัติประเทศไทยครั้งแรกหลังจากทรงไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานาน ดิฉันอายุอ่อนกว่าพระองค์ท่าน 3 ปี ขณะนั้นในหลวง ร.9 และร.8 ฉลองพระองค์ด้วยชุดสากล ประทับบนเรือซิแลนเดียมาทางปากลัด อ.พระประแดง สมุทรปราการ รู้สึกดีใจและประทับใจมาก พวกเราพากันยืนโบกธงชาติ ด้วยความปลาบปลื้มและเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้อง ต่อมาเรียนจบคณะอักษร จุฬาฯ ก็ได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์พระองค์ท่าน นอกจากนี้ได้รับเหรียญตราชั้นสูงสุด ปรมาภรณ์ช้างเผือก สายที่ 4 และครั้งสุดท้ายจริงๆ ได้รับพระราชทานตำแหน่ง ศ.กิตติคุณ เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ จึงตั้งปณิธานว่าจะทำคุณประโยชน์แก่ส่วนรวมเท่าที่จะทำได้ ทุกวันนี้ได้ใช้ชีวิตหลังเกษียณปฏิบัติภาวนากรรมฐาน และสอนธรรมะแก่คนอื่นๆ ด้วย
ด้าน น.ส.กุลวดี จรวัฒนพันธุ์ เจ้าหน้าที่สถานทูตเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา และนางนุชรีกร ป้อมสนาม เจ้าหน้าที่พิธีการทูตเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐชิลี ที่มีโอกาสมากราบพระบรมศพหลายครั้งแล้ว และยังอยากจะมาอีกเรื่อยๆ กล่าวว่า ด้วยความคิดถึงที่มีต่อท่านจึงอยากมาอยู่ใกล้ชิดท่านให้มากและบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ทั้งนี่เพราะพระองค์ทรงงานเพื่อคนไทยอย่างมากมายจนไม่สามารถเอ่ยได้หมด โดยส่วนตัวได้นำหลักคำสอนและยึดพระองค์เป็นแบบอย่างในเรื่องของความพอเพียง ที่เมื่อก่อนตอนพระองค์ทรงมีพระชนม์ชีพไม่ได้ศึกษาเรียนรู้อย่างจริงจัง แต่เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว กลับทำให้ทราบว่าสิ่งที่พระองค์ทรงทำมาโดยตลอดในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงมีประโยชน์ต่อคนไทยเป็นอย่างมาก ทำให้หลายคนกลับไปทำการเกษตรยังบ้านเกิดเพื่อพัฒนาชุมชน ด้วยดินน้ำอุดมสมบูรณ์อย่างที่ประเทศอื่นไม่มี
นอกจากนี้ยังยึดหลักการอดออม ซื่อสัตย์สุจริต การทำตัวเป็นคนดี และที่สำคัญคือความกตัญญูต่อบุพการี ซึ่งเราได้ประพฤติตามรอยพระองค์ท่านมาโดยตลอดและจะรักษาสิ่งเหล่านี้ต่อไป เพื่อเป็นการสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ท่านด้วย