นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ปรับแก้ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง หลังจากรับฟังความเห็นจากพรรคการเมืองว่า นับว่าเป็นเรื่องดีที่ กรธ.เปิดใจกว้าง พร้อมที่จะปรับแก้บางส่วนตามที่พรรคการเมืองเสนอข้อคิดเห็นไป เพื่อให้กฎหมายสามารถปฏิบัติได้จริง ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่เปิดโอกาสให้มีการเลี่ยงกฎหมายเกิดขึ้น จะทำให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ และได้รับการยอมรับจากประชาชนมากขึ้น
นายองอาจ กล่าวอีกว่า พรรคประชาธิปัตย์ อยากเห็นพรรคการเมืองเป็นพรรคของประชาชนหรือที่เรียกว่าเป็นพรรคมวลชน ไม่ใช่พรรคของใครคนใดคนหนึ่ง หรือพรรคของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง รวมทั้งอยากเห็นพรรคการเมืองเป็นพรรคที่มีคุณลักษณะเป็นสถาบันทางการเมืองมากกว่าเป็นพรรคเฉพาะกิจ พรรคการเมืองส่วนมากไม่ได้ต่อต้านกฎหมายพรรคการเมือง แต่ท้วงติง และเสนอแนะข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อให้กฎหมายที่จะออกมามีผลบังคับใช้มีความครอบคลุมเนื้อหาสาระที่สมบูรณ์
นายองอาจ กล่าวต่อไปว่า อยากฝากให้กรธ.ดูเนื้อหาสาระของมาตรา 44 ของกฎหมายพรรคการเมืองด้วยว่าข้อห้ามไม่ให้พรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง หรือสมาชิกพรรค เรียกรับเงินเพื่อแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี หรือแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ในหน่วยงานของรัฐนั้นควรอยู่ในกฎหมายพรรคการเมือง หรือควรอยู่ในกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามการทุจริต ส่วนคนที่ไม่อยู่ในพรรคการเมืองไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค เช่น นายกรัฐมนตรีคนนอก รัฐมนตรีคนนอกซื้อขายตำแหน่งก็ถือว่าไม่เป็นความผิดตาม มาตรา 44 ของกฎหมายพรรคการเมืองใช่หรือไม่
ส่วนที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาฝากให้ กรธ.ช่วยดูให้รอบคอบ เพราะผู้ฝ่าฝืนมาตรา 44 ต้องโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี จำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต ซึ่งเป็นบทลงโทษที่รุนแรง จึงอยากให้ กรธ.พิจารณาให้ละเอียดรอบคอบครอบคลุมถึงผู้ที่ไม่อยู่ในพรรคการเมือง แต่ใช้อำนาจทางการเมือง เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วย เพื่อช่วยทำให้การเมืองไทยโปร่งใสมากขึ้น
นายองอาจ กล่าวอีกว่า พรรคประชาธิปัตย์ อยากเห็นพรรคการเมืองเป็นพรรคของประชาชนหรือที่เรียกว่าเป็นพรรคมวลชน ไม่ใช่พรรคของใครคนใดคนหนึ่ง หรือพรรคของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง รวมทั้งอยากเห็นพรรคการเมืองเป็นพรรคที่มีคุณลักษณะเป็นสถาบันทางการเมืองมากกว่าเป็นพรรคเฉพาะกิจ พรรคการเมืองส่วนมากไม่ได้ต่อต้านกฎหมายพรรคการเมือง แต่ท้วงติง และเสนอแนะข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อให้กฎหมายที่จะออกมามีผลบังคับใช้มีความครอบคลุมเนื้อหาสาระที่สมบูรณ์
นายองอาจ กล่าวต่อไปว่า อยากฝากให้กรธ.ดูเนื้อหาสาระของมาตรา 44 ของกฎหมายพรรคการเมืองด้วยว่าข้อห้ามไม่ให้พรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง หรือสมาชิกพรรค เรียกรับเงินเพื่อแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี หรือแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ในหน่วยงานของรัฐนั้นควรอยู่ในกฎหมายพรรคการเมือง หรือควรอยู่ในกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามการทุจริต ส่วนคนที่ไม่อยู่ในพรรคการเมืองไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค เช่น นายกรัฐมนตรีคนนอก รัฐมนตรีคนนอกซื้อขายตำแหน่งก็ถือว่าไม่เป็นความผิดตาม มาตรา 44 ของกฎหมายพรรคการเมืองใช่หรือไม่
ส่วนที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาฝากให้ กรธ.ช่วยดูให้รอบคอบ เพราะผู้ฝ่าฝืนมาตรา 44 ต้องโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี จำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต ซึ่งเป็นบทลงโทษที่รุนแรง จึงอยากให้ กรธ.พิจารณาให้ละเอียดรอบคอบครอบคลุมถึงผู้ที่ไม่อยู่ในพรรคการเมือง แต่ใช้อำนาจทางการเมือง เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วย เพื่อช่วยทำให้การเมืองไทยโปร่งใสมากขึ้น