นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในช่วงที่ประชาชนมีความเศร้าโศกจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จากการติดตามสุขภาพจิตของประชาชนพบว่ามีปัญหาสภาพจิตใจเฉลี่ยร้อยละ 0.05 ซึ่งจากนี้จะต้องมีการติดตามต่อเนื่อง โดยเฉพาะภายในช่วง 2 สัปดาห์นี้จะมีผลกระทบทางด้านจิตใจมาก อาจจะปรากฏอาการความเศร้าเสียใจมากกว่าเดิม
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้แบ่งประชาชนออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีความเสี่ยงมากที่ต้องเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด ประกอบด้วยผู้ที่ถวายงานใกล้ชิด ผู้ที่อยู่ในหน่วยงานตามโครงการพระราชดำริต่างๆ รวมถึงผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีประวัติมีปัญหาทางด้านสุขภาพจิตมาก่อน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มที่มีความเสี่ยงปานกลาง อายุตั้งแต่ 40-60 ปี กลุ่มที่มีความเสี่ยงน้อยอายุกว่า 40 ปีลงมา ทั้งหมดนี้กระทรวงสาธารณสุข กรมสุขภาพจิต จะมีทีมให้การดูแลอย่างเต็มที่ ทั้งส่วนกลางและต่างจังหวัด
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ความทุกข์ ความเสียใจ การร้องไห้ การซึมเศร้าล้วนเป็นปฏิกิริยาธรรมชาติที่แสดงออกต่อความสูญเสียพ่อหลวงของแผ่นดินซึ่งเป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวง ช่วงนี้อย่าปิดกั้นการแสดงออก รวมกลุ่มกันทำความดี สวดมนต์ ร่วมกันทำความดีด้วยวีธีการต่างๆ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เช่น การบริจาคเลือด บริจาคร่างกาย เป็นต้น หน่วยงาน ชุมชนต่างๆ ส่งเสริมให้มีกิจกรรมตั้งโต๊ะลงนาม ส่วนลูกหลานที่มีผู้สูงอายุในบ้าน ต้องคอยพูดคุย พูดปลอบ แต่ไม่ปิดกั้นการแสดงความเสียใจหรือเบี่ยงเบนความสนใจของผู้สูงอายุ
ทั้งนี้ ตลอดช่วงที่มีการเปิดให้ประชาชนถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสถาบันการแพทย์ต่างๆ จะจัดตั้งหน่วยแพทย์สนามคอยให้บริการประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้แบ่งประชาชนออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีความเสี่ยงมากที่ต้องเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด ประกอบด้วยผู้ที่ถวายงานใกล้ชิด ผู้ที่อยู่ในหน่วยงานตามโครงการพระราชดำริต่างๆ รวมถึงผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีประวัติมีปัญหาทางด้านสุขภาพจิตมาก่อน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มที่มีความเสี่ยงปานกลาง อายุตั้งแต่ 40-60 ปี กลุ่มที่มีความเสี่ยงน้อยอายุกว่า 40 ปีลงมา ทั้งหมดนี้กระทรวงสาธารณสุข กรมสุขภาพจิต จะมีทีมให้การดูแลอย่างเต็มที่ ทั้งส่วนกลางและต่างจังหวัด
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ความทุกข์ ความเสียใจ การร้องไห้ การซึมเศร้าล้วนเป็นปฏิกิริยาธรรมชาติที่แสดงออกต่อความสูญเสียพ่อหลวงของแผ่นดินซึ่งเป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวง ช่วงนี้อย่าปิดกั้นการแสดงออก รวมกลุ่มกันทำความดี สวดมนต์ ร่วมกันทำความดีด้วยวีธีการต่างๆ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เช่น การบริจาคเลือด บริจาคร่างกาย เป็นต้น หน่วยงาน ชุมชนต่างๆ ส่งเสริมให้มีกิจกรรมตั้งโต๊ะลงนาม ส่วนลูกหลานที่มีผู้สูงอายุในบ้าน ต้องคอยพูดคุย พูดปลอบ แต่ไม่ปิดกั้นการแสดงความเสียใจหรือเบี่ยงเบนความสนใจของผู้สูงอายุ
ทั้งนี้ ตลอดช่วงที่มีการเปิดให้ประชาชนถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสถาบันการแพทย์ต่างๆ จะจัดตั้งหน่วยแพทย์สนามคอยให้บริการประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง