ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ที่ผ่านมา โดยตลาดได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มสุขภาพและกลุ่มเทคโนโลยี นำโดยหุ้นแอปเปิลที่ร่วงลงติดต่อกัน 2 วันทำการ ขณะที่นักลงทุนจับตาดูการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในสัปดาห์นี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,120.17 จุด ลดลง 3.63 จุดหรือ -0.02% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,235.03 จุด ลดลง 9.54 จุดหรือ -0.18% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,139.12 จุด ลดลง 0.04 จุดหรือ 0.00%
การร่วงลงของหุ้นกลุ่มสุขภาพเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเมอร์ค แอนด์ โค ดิ่งลง 1.5% หลังจากบริษัทซาโนฟีได้ยื่นฟ้องเมอร์ค แอนด์ โค ในข้อหาละเมิดสิทธิบัตรยา Lantus ขณะที่หุ้นเรเจเนรอน ฟาร์มาซูติคอลส์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตยารักษาโรคตา ร่วงลง 1.4% นอกจากนี้ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นำโดยหุ้นแอปเปิลร่วงลง 1.2% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 2 วันทำการ ขณะที่หุ้นอินเทลร่วงลง 1.4%
ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่าหากเฟดมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็จะช่วยให้ภาคธนาคารมีกำไรจากการปล่อยเงินกู้มากขึ้น โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส ปรับตัวขึ้น 0.5% หุ้นเวลส์ ฟาร์โกดีดขึ้น 1.3%
ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 27 เซนต์หรือ 0.6% ปิดที่ 43.30 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 18 เซนต์หรือ 0.4% ปิดที่ 45.95 ดอลลาร์/บาร์เรล
ตลาดน้ำมันนิวยอร์กได้รับแรงหนุนหลังจากนายนิโคลัส มาดูโร ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา กล่าวว่า โอเปกและประเทศนอกกลุ่มโอเปก กำลังใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงเพื่อรักษาเสถียรภาพในตลาดน้ำมัน โดยคาดว่าจะมีการประกาศข้อตกลงภายในเดือนนี้
ส่วนสัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (19 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ก่อนที่การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีขึ้นในวันที่ 20-21 ก.ย.นี้
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 7.6 ดอลลาร์ หรือ 0.58% ปิดที่ระดับ 1,317.8 ดอลลาร์/ออนซ์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,120.17 จุด ลดลง 3.63 จุดหรือ -0.02% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,235.03 จุด ลดลง 9.54 จุดหรือ -0.18% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,139.12 จุด ลดลง 0.04 จุดหรือ 0.00%
การร่วงลงของหุ้นกลุ่มสุขภาพเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเมอร์ค แอนด์ โค ดิ่งลง 1.5% หลังจากบริษัทซาโนฟีได้ยื่นฟ้องเมอร์ค แอนด์ โค ในข้อหาละเมิดสิทธิบัตรยา Lantus ขณะที่หุ้นเรเจเนรอน ฟาร์มาซูติคอลส์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตยารักษาโรคตา ร่วงลง 1.4% นอกจากนี้ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นำโดยหุ้นแอปเปิลร่วงลง 1.2% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 2 วันทำการ ขณะที่หุ้นอินเทลร่วงลง 1.4%
ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่าหากเฟดมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็จะช่วยให้ภาคธนาคารมีกำไรจากการปล่อยเงินกู้มากขึ้น โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส ปรับตัวขึ้น 0.5% หุ้นเวลส์ ฟาร์โกดีดขึ้น 1.3%
ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 27 เซนต์หรือ 0.6% ปิดที่ 43.30 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 18 เซนต์หรือ 0.4% ปิดที่ 45.95 ดอลลาร์/บาร์เรล
ตลาดน้ำมันนิวยอร์กได้รับแรงหนุนหลังจากนายนิโคลัส มาดูโร ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา กล่าวว่า โอเปกและประเทศนอกกลุ่มโอเปก กำลังใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงเพื่อรักษาเสถียรภาพในตลาดน้ำมัน โดยคาดว่าจะมีการประกาศข้อตกลงภายในเดือนนี้
ส่วนสัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (19 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ก่อนที่การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีขึ้นในวันที่ 20-21 ก.ย.นี้
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 7.6 ดอลลาร์ หรือ 0.58% ปิดที่ระดับ 1,317.8 ดอลลาร์/ออนซ์